ฉันยังอยู่

หายไปนานมากจากการอัพเืดทบล๊อก หายไปจากการเล่น msn จนมีเพื่อนสงสัยว่าเราหายไปไหนแล้วโทรมาถามว่าเราเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะปกติเราก็จะออนเอ็ม ถึงแม้จะไม่ chat ก็เถอะ นับตั้งแต่อัพเดทครั้งสุดท้ายด้วยเรื่องป่วยๆทั้งหลายของเรา หลายคนอาจจะคิดว่าเราเดี้ยงไปแล้วเป็นการถาวร อิอิ เหตุผลที่หายไปก็เพราะเดือนนี้เราทำงานแบบเต็มอัตราค่ะ ทำที่ที่ทำงานแล้วยังแบก laptop กลับมาที่บ้านอีก พอมาถึงบ้านมันก็เหนื่อย บางทีก็ทำบางทีก็ไม่ทำแต่ขอเอางานกลับมาด้วยจะได้อุ่นใจ เผื่ออยากทำจะได้ทำได้ แบบว่าปล่อยวางไม่ลง แต่ผลข้างเคียงของการแบกแลปท็อปกลับบ้านเกือบทุกวันก็คือ เปลืองตังค่าแท๊กซี่ เพราะคอมเรามันหนักดีจริงๆ บวกเอกสารอีกปึกแล้วสุดยอดมาก…หนักดีแท้ แล้วถ้าโหนรถเมล์ด้วยคงโหดมากเพราะปกติแค่ตัวกับกระเป๋าถือ แล้วโหนรถเมล์ 75 ตอนเย็นๆให้รอดปลอดภัยถึงบ้านด้วยอาการครบ 32ก็ยากแล้ว ถ้ามีคอม+เอกสาร = 4 ถึ ง 5 กิโลให้ต้องแบกอีกนี่เราไม่สามารถจริงๆ เลยเปลืองชะมัด อีกอย่างคือนอนดึกแล้วตื่นเช้าไม่ไหว ก็เลยนั่งแท๊กซี่เช้าเย็นเลย แง้ตังหมดดดดด

จนป่านนี้แล้วงานยังไม่เสร็จเลย ยังเหลือส่วน คำนำ,ข้ออภิปรายและสรุป แล้วก็พวกรันรูป ตรวจคำผิด แล้วก็อ้างอิง กับ appendixอีก ทำไมเราทำงานช้าอย่างงี้หว่า.. หัวหน้าบอกว่าเวลาเขียนเอกสารก็อย่าให้เกิน 10 หน้าแล้วกัน แต่นี่ของเราเฉพาะเนื้อหาไม่รวมพวก appendix ก็ปาไป 33 หน้าแล้ว ตอนส่งจะโดนด่าไหมนี่ ก็แบบว่าเรารวมขั้นตอนวิธีการทำเข้าไปด้วยเลย ไม่ได้แยกออกมาเป็น tutorialชุดย่อยๆ มันก็เลยเยอะฉะนี้แล แต่เราว่ามันก็มีประโยชน์นะ แบบว่าเอกสารเดียวก็ครอบคลุมหัวข้อหลักพอสมควร แล้วก็มีแนะนำไปยังเอกสารเพิ่มติมอีก แถมมีหมายเหตุการแก้ปัญหาหลายแหล่จากประสบการณ์อันน่าสะพรึงกลัว ระหว่างการศึกษาในหัวข้อนี้ของเราอีกด้วย ก็คงมีประโยชน์บ้างหละนะเราว่า(ก๊าาาากกกกก เข้าข้างตัวเองสุดสุด)แต่มันก็ยังมีหัวข้ออื่นๆ อีกบานตะเกียงให้ศึกษา เยอะมากกกกกกกก ขอบอก บ่นไปบ่นมา ยังไม่ได้บอกเลยว่าเราศึกษาเรื่องอะไร ก็ที่เขียนเอกสารอยู่ตอนนี้ก็เป็นเรื่อง Eclipse TPTP ซึ่งเป็น tool ที่ใช้ในการทำ Software profiling แล้วก็ testing อะค่ะ แล้วก็ปีนี้ก็คงศึกษาต่อเนื่องทั้งปีในหัวข้อเกี่ยวกับ Software Quality Assurance เหอๆ น่ากลัวชะมัดเลยอะ

สรุปคือเราไม่ได้หายไปไหนนะคะ แค่ไม่ได้ออน MSN เท่านั้นเอง (กินทรัพยากรเครื่องเหลือเกิน)แต่ก็เปิด Google Talk ไว้อะค่ะแต่อันนี้ก็ไม่มีใครคุยด้วยสักเท่าไหร่แต่เป็นโปรแกรม IM ที่ถูกใจเราเลยเพราะ sign in เข้าง่าย ไม่หลุด แถมไม่กินทรัพยากรเครื่องอีกต่างหาก ชอบชอบ
ด้านสุขภาพตอนนี้ก็ดีแล้วค่ะ อาจจะมีเปื่อยบ้างตอนที่เครียดมากมากแล้วก็ไม่ได้ออกกำลังกาย แต่โดยรวมก็ถือว่าดี ออกกำลังกายนี่เป็ยนาวิเศษจริงๆ เลยนะ เราก็เต้นแอโรบิกอะค่ะ คนเยอะมาก สนุกดี

หมายเหตุ เย้ สรุปก็ได้อัพเดทบล๊อกแล้ว หายไปเป็นเดือน….หุหุ อ้ออีกเรื่องก็คือ วันที่ 15มีนาคม ที่ผ่านมาเราได้บริจาคเลือดเป็นครั้งที่สองแล้วค่ะ ครั้งนี้ไม่ช้ำเลยคุณพยาบาลมือเบามาก แต่เพื่อนเราอีกสองคนกลับบอกว่าครั้งนี้เค้าเจ็บมาก พอดีมีหลายเตียงแล้วก็คุณพยาบาลหลายคน คาดว่าของเรากับเพื่อนๆ จะเป็นคุณพยาบาลคนละคนกัน สุดท้ายก็ดูแลสุขภาพด้วยนะคะทุกคน ออกกำลังกายด้วยนะคะ เพราะว่ามันคือสุดยอดยาวิเศษจริงๆ ฟังธง!!

Posted in Uncategorized | Comments Off

วันที่ฉันป่วย (2)

ช่วงนี้มีแต่อาการป่วย ยังไม่เลิกราแต่ค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ หลังจากเขียนครั้งที่แล้วไปจากนั้นก็มีอาการป่วยขึ้นมาอีก ไปหาหมอมาอีก 2 ครั้ง มือที่บวมทั้งสองข้าง ก็เหมือนจะหายบวมหลังจากทานยา แต่ก็มีอาการอื่นมาชดเชย นั่นก็คือ เกิดอาการมือลอกแบบล้างบางทั้งสองข้าง คันมาก แสบด้วย ตอนกลางคืนนอนแทบไม่หลับเพราะคันมือ แถมที่เท้าก็คันอีกต่างหาก อย่างกะเข็มทิ่ม จี๊ดตรงโน้นที ตรงนี้ที ทรมานจริงๆ ช่วงที่มือลอกไม่ได้ไปหาหมอ (ไปหาตอนมือบวม และมีจุดลอกนิดหน่อย) เพราะคิดว่ามันคงต้องเป็นอย่างนี้ ช่วงพัฒนาของโรค …..ลอกกันอย่างมหาศาลประมาณ 2 สัปดาห์แห่งความทรมาน

ลายนิ้วมือที่หายไป เพราะหนังลอก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเรา คือ ทำให้เราแสกนนิ้วเข้าออกประตูที่ บริษัทไม่ได้ ต้องลำบากพี่ รปภ. หรือต้องรอดูว่าใครจะเข้าไปข้างในบ้างจะได้เกาะเค้าเข้าไปด้วย หรือ ถ้าไม่อยากคอย (ส่วนมากจะเป็นอย่างนี้) ก็จะต้องเดินอ้อมโลกไปเข้าอีกประตูนึงถือโอกาสเดินทัวร์ที่ทำงานไปในตัว อิอิ เรียกง่ายๆ คือ อู้งานนั่นเอง แต่ช่วยไม่ได้นี่นา เราก็ไม่อยากเป็นหรอกมือลอกอะ น่าเกลียดจะตาย เวลาซื้อของก็อายคน อิ๊วววว สัปดาห์ที่ 3 อาการมือที่ลอกค่อยๆดีขึ้น ตอนนี้นั้นหนังเริ่มลอกออกหมดแล้ว เหลือแต่มือแดงๆ เป็นบริเวณๆ กระจายไปทั่ว มองเผินๆ อาจดูสุขภาพดี สุกอิ่มเป็นสีแดง แต่จริงๆ แล้วมันแดง เพราะ หนังชั้นนอกมันไม่มีต่างหาก ตอนนั้นคิด…จะหายแล้วเราหมดทุกข์หมดโศกเสียที…….. แต่!! สวรรค์ไม่เข้าข้างคนบาป เอ๊ะเราบาปมากหรอเนี๊ยะ?

ทำไมนะหรือ หลังจากมือเริ่มดีขึ้น เราก็มีอาการอื่นมาแทน คือ มีเม็ดแดงๆ ขึ้น เริ่มต้นด้วย บริเวณข้อศอก หลังมือ วันต่อมาก็มีที่หลังเท้า เข่าทั้งสองข้าง ซึ่งคันมากมาก ขึ้นแบบน่ากลัวด้วย ตอนแรกก็คิดว่าแมลงกัดหรือป่าว แต่สรุปก็คงไม่น่าจะใช่ เพราะเวลาเม็ดมันขึ้น มันจะขึ้นแบบสมมาตรกัน บริเวณเดียวกันเป๊ะๆ ทั้งสองข้าง เราก็ทายาหม่องให้เย็นๆ หายบ้างไม่หายบ้าง สักพักก็เป็นใหม่ เซงสุดสุด สรุปก็ต้องไปหาหมออีกตามเคยยยยยย หมอบอกว่าเป็นผื่นแพ้… ไปหาหมอแล้วไปเต้นแอโรบิค กะว่าเต้นเสร็จแล้วก็จะทานข้าวและทานยา ช่วงที่ยังไม่ได้ทานยา นั้นเจ้าเม็ดแดงก็พาเพื่อนมาอีกโขยงใหญ่ ขึ้นตรงขาอ่อนทั้งสองข้าง เยอะมากกๆๆๆ สยองจริงๆ นี่ก็จะเอาให้ตายเลยใช่ไหม อยากจะร้องไห้นะ เหนื่อยจัง เมื่อไหร่โรคภัยจะเลิกรังควานเสียทีหนอ แต่ พอทานยาเข้าไปปุ๊บ ภายใน 1- 2 ชม. เจ้าเม็ดๆทั้งหลาย หายเกลี้ยง!! อย่างกับไม่เคยมีตัวตนบนโลกมาก่อน อะไรกันนี่ อาการเจ็บปวดกระดูกขาและหลังอย่างรุนแรงของเราก็หายไปด้วย ยามันแรงได้ใจจริงๆ คิดว่ามันคงเป็นเพราะอานุภาพยาสีขาวเม็ดเล็กๆ ที่หมอบอกว่าจะให้ทานแค่ 3 วัน เพราะมันทานติดต่อกันนานกว่านี้ไม่ได้ เราเอาชื่อยามาหาดูในเน็ตก็พบว่ามันเป็น steroid นั่นเอง เหอๆ

ตอนนี้ยาหมดแล้ว วันนี้เลยต้องไปหาหมออีกไปให้หมอดูอาการ แต่พอยาหมด (จริงๆ เราว่าตั้งแต่ยาเม็ดสีขาวหมดแล้ว) อาการเราก็เหมือนจะกำเริบอีก เริ่มมีปวดหลัง ไม่รู้สึกสดชื่นปิ๊งๆ เหมือนตอนทานยาเม็ดขาว ของเค้าแรงจริงๆ ตอนนี้ปวดคอ รู้สึกเหมือนตัวช้ำๆ จิ้มๆ ก็เจ็บแล้ว หน้าก็บวม เฮ้อ เราอยากหายมากมากเลยนะ ไม่อยากอยู่ได้เพราะยา น่ากลัว…. ความแข็งแรงกลับมาหาเราที “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”จริงๆ คิดถึงตอนสุขภาพดีมาก จะทำอะไรก็ได้
แต่เอาน๊าาา เราต้องสู้ๆๆ เราแข็งแรง เราแข็งแรง บอกตัวเองไว้ โหย่วๆ สู้สู้

สุดท้าย ก็ขอให้สดใสแข็งแรงกันทุกคนนะคะ สุขสันต์วันตรุษจีนค่ะ

ปล. มีรูปอาการมาให้ดูเล็กน้อย ไม่สวยไม่งามนะคะ eww!!

righthand

มือด้านขวา

redbumps_left

เม็ดแดงเริ่มที่ข้อศอก

redbumps_thighs

กลัวน้อยหน้ากัน เลยมาขึ้นที่ขาด้วย

redbumps_thighs

รูปนี้คือรูปด้านบน เอาไปปรับ auto level ในโฟโต้ช็อป ออกมาเห็นเม็ดแดงๆชัด น่าเกลียดขนานแท้

ปล. เม็ดพวกนี้หายหมดแล้ว ตั้งแต่เจอยาเม็ดขาว steroid พิฆาตและ ยาอื่นๆ ตอนนี้กำลังลุ้นอยู่ว่า มันจะมาอีกไหมเพราะยาหมดแล้ว เย็นนี้จะไปหาหมออีกแล้วค่ะ

Posted in Uncategorized | 4 Comments

วันที่ฉันป่วย

วันนี้เป็นแนวบอกเล่า ไม่มีสาระใดๆ แต่อารมณ์อยากจะเล่าสู่กันฟัง ถึงจะไม่มีใครอ่านก็เถอะ ก็อะน๊ารู้ว่าผิดเอง ก็อัพเดทไม่สม่ำเสมอเอาเสียเลยนี่นา ม่ายมีวินัยซะเร้ยเรา
เรื่องของเรื่องก็คือ จะทำงานมาครบ 7เดือนครึ่งแล้วหละค่าาา เร็วจัง แป๊บๆ ก็ผ่านไปแล้วจะปี แล้วไงหนะหรือคะ ไม่ได้จะมาเล่าเรื่องงานหรอกค่ะ แต่จะบอกว่าป่วยมากี่ครั้งแร้ว จริงๆ จำไม่ค่อยได้หรอก แต่รู้สึกว่าป่วยบ๊อยบ่อย ไมอ่อนแออย่างนี้หว่าเรา

ครั้งที่หนึ่ง:
ป่วยเป็นหวัดค่อกแค่กมาก แต่ก็ยังไปทำงานทุกวัน นั่งไอจามได้ทั้งวัน เข้าห้องน้ำบ่อยมาก เพราะต้องดื่มน้ำตลอดเวลา ไม่งั้นก็ไอทรมานจริงๆ ไอจนเจ็บซี่โครงไปหมดเลย คาดว่าคนที่ที่ทำงานคงแอบรังเกียจอยู่ในใจ แต่ไม่รู้จะืทำไง ห้าๆๆ ก็อะนะมันห้องปรับอากาศ หมุนเวียนอยุ่แค่นั้นรับรองติดหวัดกันราบคาบแน่ เหอๆ และเป็นจริงดังหวัง เอ๊ย ดังคาด หนึ่งสัปดาห์ให้หลังก็มีคนป่วยตามมามากมาย ดีไม๊นี่ที่กระแด๊ะ ดึ๊กๆ มาทำงาน เอาโรคมาแพร่แท้ๆ เลยเรา จากการฝืนสังขารทำให้ใช้เวลาถึงสองสัปดาห์ กว่าจะหายจากน้องหวัด ซิมเปิ้ลๆ ไวรัสตัวน้อยฤทธิ์ร้ายเหลือหลาย จำไว้เลย

ครั้งที่สอง:
ป่วยเป็นโรคทางใจซึ่งส่งผลทางร่างกายอย่างรุนแรง หลังจากสะสมมาหลายวัน ก็มาถึงจุดสุดยอด ไม่ไหวแร้ว…ร้องไห้กระจุยกระจาย นอนไม่หลับ บวกกับอาการขาดอาหารสะสม ขอยอมแพ้ โทรไปหาหัวหน้าขอลางาน ลากสังขารไปหาหมอ บอกหมอหนูเครียด ไม่มีแรง เหนื่อย ทานอาหารไม่ลง นอนไม่หลับ หนูอยากหลับ ช่วยหนูด้็วยยย และก็สมใจอยาก…..นอนให้น้ำเกลือ และฉีดยาอีกเข็ม (ฉีดเข้าสายน้ำเกลือ) ยาหมอดีจิ๊งงง ฉีดเข้าสายน้ำเกลือยังไม่ทันหมดเข็มเลย ตาก็เริ่มหนัก มองพยาบาลไม่เห็นแล้ว และก็หลับ zzZZZ คุณพยาบาลเข้ามาถามเป็นช่วงๆ ว่าจะทานข้าวไหม ไอเราก็เหมือนกระหายอยากการนอนอย่างแท้จริงมานาน ก็บอกคุณพยาบาลไปว่า ไม่เป็นไรค่ะ เพรา่ะให้น้ำเกลือแร้ว มันก็ไม่หิวอะนะ เรานะนอนคนเีดียว ไม่มีใครเฝ้าไข้หรอก พอเค้าถามว่ามาคนเดียวหรือก็แอบแทงใจดำเล็กน้อย แต่ก็นะอย่างน้อยก็ยังรู้ตัวเองว่าปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ต้องพึ่งหมอ ทำใจเองไม่ได้ก็ให้หมอ สั่งเข็มมาจิ้มแขน ให้เจ็บซะจะได้รู้สึกตัว แต่ก็จริงแห๊ะ หลังจากออกมาก็รู้สึกดีขึ้น เหมือนหลุดจากวังวนความโศกมาได้ อย่างน้อยก็ขั้นนึง พร้อมยาหลายแหล่ อาทิ ยาบำรุง ยาคลายเครียด (เราว่าคงประมาณแนว ยาระงับประสาท เหอๆ ทานแล้วก็จะง่วงงงง) เป็นต้น แล้วก็เสียตังไง เหอๆ พันนึงมั้ง….. ต้องเสียตังแล้วรู้สึกดีเร๊อะเนี๊ยะเรา และมันก็ผ่านไป

ครั้งที่สาม:
ตาบวม ลางานหนึ่งวัน เฮ้อ ตอนแรกเป็นแค่จุดแดง ว่าแล้วเชียวมันต้องมีไรผิดปกติ และแล้วมันก็เกิดขึ้นอีกจนได้ ปีที่แล้วก็เป็น สงสัยเป็นโรคประจำปี ดูรูปได้นะก๊ะ ว่าน่าเกลียดขนาดไหน มีปัญหาคือ จะอ่านหนังสือ หรืออะไรที่ต้องจ้องมาก จะเวียนหัว เพราะตามันเปิดได้ไม่เท่ากัน ต้องพยายามเบิ่งตา แล้วพอฝืนไปนานๆ มันก็เกิดอาการเวียนหัวและหงุดหงิด เห้อ จะว่าไปแอบดูใครอาบน้ำก็ป่าวนา อิอิ

puffyeye


ครั้งที่สี่:
คออักเสบเนื่องจากการติดเชื้อพอเกิดอาการอักเสบ ร่างกายเลยป่วยไปด้วย อ่อนเพลียมาก และเจ็บคออย่างสุดซึ้ง เจ็บมาก นอนร้องไห้เลย ไปปรึกษาเภสัชกรและได้ยาแก้อักเสบมาทานก็ไม่ดีขึ้น สรุปไปหาหมอเจ้าเก่า หมอถามว่าวันนี้เป็นไรมา เฮ้อ เจอหมอคนเดิม เป็นแฟนพันธุ์แท้หมอไปซะแระเรา ตอนไปหาหมอ มีอาการมือบวมด้วย เป็นเพราะทานยาแก้ปวดหมออายุหรือป่าวหว่า บวมๆคันๆ สรุปหมอก็บอกว่าทานยาแก้อักเสบแล้วไม่ดีขึ้นหรอ งั้นลองเปลี่ยนยาแล้ว และฉีดยาสักเข็มนะ……. อีกแระ โดนจิ้มประจำ แต่ยาฉีดสงสัยเป็นยาวิเศษ พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็หลั่นล๊าาไปทำงานได้ หาเจ็บเป็นปลิดทิ้ง และได้ยามาอีกสี่ถุง คือ ยาลดกรด, ยาแก้ปวด, ยาคลายกล้ามเนื้อ และยาแก้เจ็บคอ ครั้งนี้หมดไป 320 บาท และลางานไปสองวัน ดูเหมือนสำออย อะไรกั๊น เจ็บคอแล้วลางาน?ใช่่แล้ว เพราะเห็นผลแล้วว่าถ้าดันทุรัง แล้วเรื้อรังนานๆ มันไม่คุ้มกันอะ ทรมานนนน แต่เรื่องตลกก็คือ อาการป่วยครั้งนี้เริ่มต้นจาก การทานฝอยทองกรอบ อย่างตะกละตะกรามของเราเอง อื๊มมมม อร่อย เคิ้ยวๆ กลืนๆ ลูกต่อลูกอย่างเมามัน และแล้วเศษฝอยทองกรอบก็ไปติดคอ พยายามแล้วแต่เอามันออกมาไม่ได้ ก็นอนไปทั้งอย่างนั้น รุ่งเช้าเห็นผล เจ็บคอเกิดบรรยาย แหงหละ น้ำตาลหนิ อาหารโปรดของพวกเชื้อเลย คงโตเต็มคอเราเลยหละ ปาร์ตี้กันในคอชั้นสนุกไหมย๊ะ เจ็บๆๆๆ อีกอย่างคงเป็นเพราะตอนที่กลืนฝอยทองกรอบ มันค่อนข้างแข็ง เคี้ยวก็ไม่ละเอียด มันก็คงไปบาดคอเรา รอไว้ก่อนแล้ว พอมีเศษไปติืดค้างข้างในอีก เลยเข้าทางเชื้อโรคเลย สรุปสาเหตุเกิดมาจากความตะกละ ขอพี่น้องพึงระวัง จงรับประทานอย่างมีสติ ขอเตือน ด้วยรักและฝอยทองกรอบบบบ นะสิบอกไห่

ปล. ไมเคิลถามว่า จะป่วยบ่อยด้วยอัตราอย่างนี้ไปตลอดเลยอ๊ะป่าว …..ตอบว่าใครจะรู้หละจ๊ะ ถ้าดูแลดีก็ม่ายป่วยหรอก ตอนนี้แบบว่าหงอยเหงา ขาดคนดูแล เลยจิตใจอ่อนแอ ร่างกายเลยเหี่ยวแห้งทรุดโทรม จะบอกว่าจะไม่ทะเลาะด้วยแล้วนะ เหนื่อยและบั่นทอนอะ มาดีกันดีก่า เราเองแหละชอบกดดันผู้อื่น สงสัยจะเป็นโรคจิต ขอโทษนะคะ (จะอ่านรู้เรื่องป่าว? อิอิ ใครจะเอาไปบอกให้ก็ได้นะคะ)

สุขขีสโมสรกันถ้วนหน้า นะคร้าาา ไปแระค่ะ บั๊ยบายยย

Posted in Uncategorized | Comments Off

Magazines-01-2007

สวัสดีปีใหม่ทุกคนนะคะ หายไปนานเลยเรา อายจัง ไม่สม่ำเสมอเสียเลยนะนี่ แบบว่าเที่ยวเตร่บ่อยหนะค่ะ พอดีมีคนมาหามาเยี่ยมเยียนเราก็ต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี พาเที่ยวใช่ม๊าา แต่ว่าในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เราก็ดูหนังอยู่ที่ห้องแทน เนื่องจากเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้น น่าเศร้ามาก สงสารคนที่โดน เสียชีวิต บาดเจ็บ และขวัญเสียกันทั้งประเทศ แย่จังเลย คงมีผลกระทบกับประเทศของเรามากมาก เห้อ ขอให้จบลงเสียทีเถิด

มาถึงหัวข้อเรื่องในวันนี้ “Magazines” เริ่มต้นจากพอต้นเดือนเราก็จะซื้อนิตยสาร มาอ่าน และดูรูป อิอิ เดือนละ 2 เล่ม จากร้านหนังสือหน้าหมู่บ้าน ปกติเราจะเรียก นิตยสารว่า “หนังสือ” วันนั้นก่อนจะเข้าหมู่บ้านเราก็เลย เดินไปที่แผงหนังสือ แล้วบอกเพื่อนว่า “Okay, I want buy this book” เพื่อนเลยหันมาและถามเราว่า “This is a book for you???” เราก็มองหน้าเค้าแล้วบอกว่า “Okay fine!! A MAGAZINE. Is that okay???” เพื่อนเราก็มองหน้าแบบยิ้มๆ แล้วก็พยักหน้าหงึกๆ (คงกลัวเราลมบ้าหมูจับ เพราะโดนทักเรื่้องภาษาอังกฤษแปลกๆ ของเรา เลยรีบจบบทสนทนา) ก็เราเรียกภาษาไทยว่า “หนังสือ” หนิืเราเลยเรียกเป็นอังกฤษว่า “Book” ซะเลย ห้าๆๆ

เวลาดูนิตยสารที่ร้าน เราก็จะดูหน้าปกว่าใครเป็นแบบปก มีหัวข้ออะไรน่าสนใจบ้าง จะซื้อดีอะเปล่า แต่สรุปดูไป ดูมา ก็ซื้ออยู่ดี ได้จ่ายตังทุกเดือนเลย เราเลยคิดว่าไหนไหนก็ซื้อมาแล้ว น่าจะเอารูปหน้าปกมาลงให้ดูกัน เผื่อใครอยากดู แล้วอยากจะไปซื้อ ถ้ามีหัวข้อที่สนใจอะค่ะ จะได้สะดวก ที่เราซื้อทุกเดือนก็จะมีหนังสือ CLEO แล้วก็ ELLE นะคะ แต่เดือนนี้มีพิเศษหน่อย เพราะซื้อ Ray ด้วย เพราะเห็นสาวๆ จาก ห้องโภชนาการและความงาม (pantip.com >>ลุมพินี ) พูดถึงกัน เลยลองซื้อมาดู โอเคมาดูกันเลยดีกว่านะคะ

ประจำเดือน มกราคม พ.ศ. 2550 ค่ะ
CLEO
cleo_1_2007

ELLE

Ray
ray_1_2007

แล้วจะเอาฉบับต่อๆ ไปมาให้ดูกันอีกนะคะ บ๊ายบายค่ะ
ปล. ตื่นเช้ามาวันนี้ เปลือกตาขวา บวมตุ่ยเลย แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้่้วหละค่ะ

Posted in Magazines | 1 Comment

เวลาที่โกรธ..นึกถึงนิทานเรื่องนี้

เคยโกรธใครกันบ้างหรือเปล่าคะ ทุกคนคงจะเคยมีกันบ้าง โกรธแล้วอาจจะแสดงออกหรือไม่แสดงออก บางทีควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แสดงออกมาแรงๆ ต่อคนรอบข้างหรือต่อคนที่เราโกรธ ซึ่งการกระทำด้วยอารมณ์เหล่านี้มันไม่ส่งผลอะไรที่ดีเลย เราก็เคยโกรธเพื่อนคนนึงด้วยเรื่องไร้สาระมากมาก และ ไปพูดประชดเค้าด้วยอารมณ์ จนถึงวันนี้เรายังเสียใจอยู่เลย แต่เราก็ขอโทษเค้าไปแล้ว แต่เหมือนกับมันไม่เหมือนเดิม….. ดังนั้นก่อนจะระเบิดใส่ใครให้หวนกลับมาคิดตรึกตรองดีดีก่อน ทำใจให้เย็นลง และเราก็จะสามารถระงับการระเบิดอารมณ์ร้ายๆ นั้นไว้ได้ วันนี้ได้หยิบเอาหนังสือ คลีโอฉบับเดือนธันวาคม 2549 มาอ่าน ในคอลัมภ์ “อะไรๆ ก็โมโห…คือคุณหรือเปล่า?” และเค้าก็ได้เล่านิทานไว้เรื่องหนึ่ง ซึ่งทางคลีโอก็ได้ระบุไว้ว่าได้มาจาก ฟอร์เวิร์ดเมลล์ เราอ่านแล้วเห็นว่าเตือนใจได้ดี เลยขอเอามาลงให้ได้อ่านกันค่ะ

มีพ่อกับลูกชายคู่หนึ่ง ลูกชายเป็นคนขี้โมโห เจ้าอารมณ์ ถ้าโกรธใครเข้าก็จะด่าว่าคนคนนั้นอย่างเต็มที่ ทั้งเพื่อน พ่อแม่และพี่น้อง จนใครๆ ก็เบื่อไม่อยากคบด้วย วันหนึ่งคนเป็นพ่อก็บอกให้ลูกชาย ลองทำสิ่งหนึ่งคือ เมื่อไรที่รู้สึกโกรธใคร แล้วก็ด่าหรือใส่อารมณ์กับคนคนนั้นไป ให้ไปตอกตะปูที่รั้วสังกะสีข้างบ้านไว้ ให้ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่โกรธ

เวลาผ่านไป 1 อาทิตย์…พ่อถามว่า มีตะปูกี่ตัวแล้ว “24 ตัวครับ” ลูกตอบ… “เอาหละ ต่อไปนี้ลองทำใจให้เย็นลง ข่มใจให้มากขึ้น และถ้าลูกระงับความโกรธได้ครั้งหนึ่ง ก็ให้ไปถอนตะปูออกจากรั้วตัวหนึ่ง ทำไปเรื่อยๆ นะ”

ผ่านไป 2 อาทิตย์ ลูกชายกลับมาหาพ่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บอกพ่อด้วยความภาคภูมิว่า “ผมทำได้แล้วครับพ่อ ผมถอนตะปูออกได้หมดแล้ว ผมใจเย็นขึ้นแล้วครับ”

“ดีมากลูก”.. พ่อชมแล้วพาลูกเดินไปที่รั้ว ตรงที่ลูกชายเคยตอกตะปูทุกครั้งที่โกรธ..ก่อนจะถามว่า “ลูกเห็นอะไรไหม?” “ก็รอยตะปูไงพ่อ” ลูกตอบ…”ใช่ลูก..รอยตะปูก็เหมือนความรู้สึกในใจคนนั้นล่ะ เวลาเราโกรธ เราตะคอกใส่คนอื่น ด่าว่าคนอื่น มันก็เจ็บ เหมือนกับเราตอกตะปูลงไปในใจเขา เราอาจจะถอนคำพูดด้วยคำว่าขอโทษได้ แต่ความรู้สึกที่เสียไปมันก็เหมือนรอยตะปูนั่นล่ะ ถึงเราจะถอนตะปูออกมาแล้ว แต่มันก็ยังทิ้งรอยไว้เสมอ” …ทางที่ดีที่สุด เราพยายามอย่าตอกตะปูลงไปในใจใครจะดีกว่า! พ่อบอก

เราขอยืมคำที่ทางคลีโอได้บอกไว้ว่า “เผื่อทุกครั้งที่โกรธ เตรียมจะใส่อารมณ์กับใคร บอกตัวเองไว้ว่า…อย่าฝังตะปูไว้ที่ใครอีกเลย”

Posted in Philosophy | Comments Off