ทำอย่างสม่ำเสมอ ..ยากกว่า.. การเริ่มต้นทำ?

เคยได้ยินคำกล่าวนี้ไหมที่ว่า “การได้เป็นแชมป์นั้นยาก แต่การรักษาแชมป์นั้นยากกว่า” ซึ่งเป็นคำกว่าวที่เราเห็นว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนความจริงของหัวข้อวันนี้ได้ดี จริงๆ แล้วอาจจะเป็นตัวอย่างที่เป็นสองชั้นด้วยซ้ำไป เพราะกว่าจะได้เป็นแชมป์ คนคนนั้นก็ต้องเริ่มต้นและฝึกอย่างสม่ำเสมอ จนฝีมือเป็นเยี่ยมยุทธ์และเอาชนะคนอื่นๆได้ อันนี้เป็นชั้นที่หนึ่ง ส่วนชั้นที่สองก็คือการทำให้สม่ำเสมอในรูปแบบของการรักษาแชมป์ คือต้องรักษาแชมป์ไว้ให้ได้ต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีความสม่ำเสมอในด้านการฝึกซ้อมในความเข้มข้นที่เท่ากับ หรือมากกว่าที่เคยมีในตอนแรกเพื่อให้สามารถรักษาสถานะเดิมไว้ได้ เพราะทักษะถ้าไม่ฝึกฝนก็มีแต่จะลดลง อันนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนก็รู้กันดีอยู่แล้ว แต่จะมีกี่คนที่ทำได้?

การเอาใจจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นช่วงระยะเวลานาน ซึ่งไม่ใช่แค่ 2-3 ชั่วโมงของการสอบ แต่เป็นเดือนเป็นปีหรือในบางกรณีอาจเป็นทั้งชีวิตของคนๆหนึ่ง เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ยกตัวอย่างตัวเราเองกับการเขียนบล๊อกแห่งนี้ จะเห็นว่าไม่มีความสม่ำเสมอเอาเสียเลยทั้งๆที่ตอนแรกมีความต้องการอยากมี และตื่นเต้นมากที่จะได้มีเว็บเป็นของตัวเอง ตอนนั้นเราก็จัดการให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ช่วงแรกก็เขียนบ่อยแล้วก็ค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆ ช่วงหลังมานี้แต่ละอันเวลาทิ้งกันเป็นเดือน บางทีก็อยากเขียนแต่พอเริ่มแล้วก็นึกว่าต้องเขียนอีกตั้งยาวเลยพักไว้ก่อน ผลัดอยู่อย่างนี้ สุดท้ายก็เขียนไม่เสร็จสักอัน เห็นไหมว่าเราเริ่มทำได้..แต่ทำไม่สม่ำเสมอ(แค่ทำให้เสร็จยังยากเลย เฮ้อ)

เราชื่นชมมากกับคนที่ทำอะไรได้สม่ำเสมอ มันต้องอาศัยวินัยด้วย ซึ่งเราสังเกตเห็นว่า บุคคลที่ประสบความสำเร็จจะมีคุณสมบัตินี้กันทุกคน เช่นคนที่มีบล๊อกซึ่งมีคนอ่านเป็นจำนวนมาก ตัวเจ้าของบล๊อกก็จะมีการอัพเดทเนื้อหาอยู่เป็นประจำและเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะคนเข้ามาอ่านเองหากเค้าเข้ามากี่ครั้งก็เห็นเนื้อหาเดิมก็คงเบื่อ ตอนแรกก็อาจจะเริ่มจากทิ้งช่วงการเข้ามาอ่านบล๊อกนานขึ้น แต่ถ้ายังไม่มีอะไรอัพเดทอีกสักวันคนอ่านก็คงค่อยๆหายไป จนไม่เหลือ อีกตัวอย่างก็คือคนที่มีทักษะหรือความรู้ในด้านใดเป็นพิเศษกว่าพวกเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ ก็คงใช้เวลาและความทุ่มเทอยู่กับสิ่งๆ นั้นมาไม่น้อย บางคนพอได้เริ่มไปสักพักก็หยุด ยังไม่ทันเก่งก็ท้อ แล้วก็ไปหาสิ่งใหม่และเข้าวงจรเดิม เริ่มด้วยใจฮึกเหิมแล้วก็หยุดกลางคันวนเวียนไปอย่างนี้เรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่เชี่ยวชาญอะไรสักอย่าง เหมือนที่เรารู้สึกอยู่ตอนนี้ หึหึ

การจะทำสิ่งใดได้สม่ำเสมอจะทำได้ง่ายขึ้นมาก หากมีความชอบในสิ่งที่ทำ ซึ่งเราว่าในระดับสูงแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่คนคนนึงจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้อย่างสม่ำเสมอและทำได้ดี โดยไม่มีความรักความปรารถนา (passion)ในสิ่งนั้นเพราะจะไม่สามารถดึงศักยภาพสูงสุดออกมาได้ ดังนั้นถ้ารู้ตัวเองว่าชอบอะไรก็ให้เริ่มและฝึกพลังตัวเองอย่างสม่ำเสมอเราว่ามันมีแต่ผลดี (แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ด้วย)ช่วงแรกอาจจะยากหน่อยเพราะไม่เคยทำมาก่อน ไม่ชินเลยโดนรบกวนให้ออกนอกแผนได้ง่าย ต้องมีวินัยให้มากมาก แล้วพอถึงขั้นที่มันลงตัว มันก็จะง่ายขึ้นจนอาจกลายเป็นส่วนนึงของนิสัย และความต้องการอยากศึกษาค้นคว้าหรือทำในสิ่งนั้นโดยธรรมชาติไปเลย ซึ่งเราว่ามันดีมากมาก…Stick with it! แล้วเราจะมีวันนั้น yeah!!

สรุป การทำอย่างสม่ำเสมอยากกว่าการเริ่มต้น เราว่าเป็นจริงกับทุกเรื่อง ด้านธุรกิจก็เหมือนกัน เปิดร้านแล้วไม่ให้เจ๊ง+ทำกำไร อยู่ไปได้ยาวนาน หนะยาก ไม่งั้นคงรวยกันทุกคนแล้ว จริงไหม?

Posted in Uncategorized | Comments Off

น้องสาวของส้มชื่อ “แพร”

เรามีน้องสาวหนึ่งคนชื่อน้อง แพร อายุห่างกัน 5 ปี ใครๆที่เห็นเรากับน้อง หรือ บางคนก็เห็นรูป แต่ก็บอกเหมือนกันทุกคนเลยว่า “ไม่เหมือนกันเลย” หึหึ แต่เราว่า เรากับน้องคล้ายกันมาก หน้าตาก็คล้ายๆกัน โดยเฉพาะความคิดพื้นฐานต่างๆ อาจเป็นเพราะว่า ที่บ้านปลูกฝังมาเหมือนๆกัน แต่แพรเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ชัดเจนในตัวเองมากกว่าเราเยอะ มีความสามารถในการจัดการอะไรๆ ได้ดี แบบว่าไม่เป็นพวกต้องไฟลนก้นแล้วถึงจะมารีบทำงกๆ เหมือนเรา พอมีงานแพรก็จะรีบทำให้เสร็จ แบบมีคุณภาพสูงมากเสียด้วย แต่เราบางทีจะเป็นประเภทใช้ deadline เป็นแรงขับเคลื่อน คือ ถ้ายังไม่ใกล้กำหนดส่ง มันจะตีบตันคิดอะไรไม่ออก จนบางทีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำยังไงให้มันสำเร็จไปได้ แต่ก็จะรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า ก็พอจะต้องส่งมันก็ผ่านมาได้ดีทุกครั้งนี่นา ไอเดียมันปรี๊ดเอาตอนใกล้ส่ง (ระหว่างที่ผลัดวันประกันพรุ่ง ก็กังวลๆ แต่ไม่ทำ) พอส่งงานเสร็จก็จะตั้งใจว่างานครั้งหน้าเราจะทำตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่เป็นอย่างนี้อีกแล้ว พอเอาเข้าจริงก็กลับมาอีหรอบเดิม เฮ้อ…

แต่สำหรับแพรเธอจะมีวิธีการคิดเพื่อจัดการที่แตกต่างออกไป คือ แพรบอกเราว่า “ก็ทำให้เสร็จสิ จะได้ไม่ต้องกังวลไม่ต้องไปคิดถึงมันอีก” ด้วยวิธีการคิดอย่างนี้แพรเลยทำงานเสร็จแบบไม่ลวกเลย งานออกมาดีมากด้วย อีกอย่างที่แพรต้องทำงานให้เสร็จเร็วก็เพราะ มีเพื่อนๆ รออยู่ หุหุ เพื่อนของแพรเรียกแพรว่า “ด็อกเตอร์” ตั้งแต่สมัยมัธยม ตอนนี้อยู่มหาวิทยาลัยขึ้นปีสามแล้ว แพรก็ยังเป็นคนดีของเพื่อนๆ ต่อไป อิอิ ผลการเรียนของแพรดีมาก มาตั้งแต่สมัยมัธยม (ตอนประถมเราจำไม่ได้อะ ว่าเป็นไง) ได้ 4.00 มาไม่รู้กี่ครั้ง น่ากลัวจริงๆ เราเองเคยได้ 4.00 สมัยมัธยมแค่ครั้งเดียวตอน ม.2 แล้วก็ไม่เคยได้อีกเลย ส่วนตอนอยู่มหาวิทยาลัยนี่ไม่ต้องพูดถึงเราไม่เคยได้ 4.00 เลย แต่…. แพรทำได้อะ เทอมที่ผ่านมาแพรได้ 4หมดทุกวิชาเลย คณะเลยให้รางวัลโดยการคืนค่าเทอมของเทอมนั้นให้ พร้อมใบประกาศนียบัตร คือมันเป็นนโยบายของคณะที่แพรเรียนอะค่ะ (คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์)เลยกะจะขอตังน้องมากินหนมสักหน่อย…ห้า ห้า ล้อเล่น แต่คิดจริงนะนี่ แซวน้องไปแล้วด้วย คริคริ น้องบอกว่าจะให้เงินพ่อกับแม่ และเราด้วย (กรั่กๆ ได้ผล) เป็นคนดีจริง จริ๊ง เลย ว่าไหมคะ

น้องแพรได้เกินมาเพื่อให้สมดุลกับเราโดยแท้ แพรสูงเราเตี้ย เอ้ยย ไม่ใช่เรื่องนี้ (แต่ก็จริงนะ เราเตี้ยกว่าน้องเป็นสิบกว่าเซ็นเลย)คือเรื่องที่จะบอกคือเรื่อง การใช้เงิน น้องแพรเป็นพวกประหยัด ไม่ค่อยอยากได้อะไร ไม่ค่อยซื้อ ประหยัดอดออม ละเอียด สมกับเป็นเด็กบัญชีโดยแท้ ซึ่งก็นะต่างกับเราลิบลับ เราเลยบอกว่าเกิดมาเพื่อให้สมดุลกับเราไง ก็ลองคิดดูว่าถ้าลูกฟุ่มเฟือยทั้งสองคน จะน่าสงสารพ่อแม่แค่ไหน เหอๆ แต่ตอนนี้เราก็ทำงานแล้วก็ไม่เบียดเบียนที่บ้านเท่าไหร่แระ อิอิ แต่ยังไม่ได้ให้ตังที่บ้านเท่าไหร่เลย เฮ้อ แย่จริง.. แต่วันเสาร์อาทิตย์ หรือเวลาที่น้องมาอยู่ด้วย ก็เลี้ยงน้องตลอดนะขอบอก อย่างน้อยก็เป็นคนดีนิดนึง :P ส่วนเรื่องส่งเสียน้องเรียนนี่ยังไม่ได้ทำเลย ก็เลยบอกน้องว่าก็เรียนให้ได้ 4.00 ทุกเทอมดิ จะได้เรียนฟรีไปเรื่อยๆ …กรั๊กๆๆ..

แพรหนะ ไม่ใช่เป็นพวกเด็กเรียนแล้วไม่มีสังคมอย่างอื่นนะ แพรออกค่ายบ่อยมาก เป็นนางรำพร้อมเป็นคนฝึกสอนรุ่นน้องของชมรมทักษิณ (เอิ่ม หมายถึงชมรมเด็กใต้อะนะ ไม่ได้หมายถึงชมรมรักอดีตนายก คนที่คุณก็รู้ว่าใคร หึหึ ส่วนน้องแพรก็เป็นนางรำมาตั้งแต่สมัยมัธยมแระ รำบ่อยมาก แอบอิจฉาอ่า.)เป็นเหรัญญิกชมรมด้วย แต่ใกล้หมดวาระแล้วหละ ส่งต่อให้รุ่นน้องต่อไป.. ก็ทำได้หลายหลายอย่างนะนี่ เรียนดีด้วย แถมยังคอยเป็นคนดูแลพี่อีกซึ่งก็คือเรานั่นเอง คือเวลาไปไหนน้องก็จะถือของให้ตลอดเลย เป็นคนดีมาก มีอะไรก็เสียสละให้พี่ ห้าๆ จริงจริงยังมีเรื่องราว อีกเยอะเลยระหว่างน้องกับเรา มีกันสองคนพี่น้องพ่อกับแม่ เราสี่คน รักกันรักกันม๊ากมาก..ตลอดไป
วันนี้มีรูปเรากับน้องมารูปนึง จริงจริงแล้วมีรูปออกแนวปัญญาอ่อนๆ ด้วย แต่หาไม่เจออะ คงต้องขอไมเคิลใหม่ เบลอๆ หน่อยไม่ว่ากันนะคะ สำหรับวันนี้ Bye! ค่า

Sanita and I

Posted in Uncategorized | Comments Off

เรียนเปียโนสัปดาห์ละชั่วโมง พอหรือ??

มีใครบ้างที่กำลังเรียนดนตรีอยู่ แล้วคุณเรียนกันสัปดาห์ละกี่ชัวโมงในหนึ่งสัปดาห์ แล้วกี่ชั่วโมงกันนะถึงจะเพียงพอ วันหนึ่งเราไปสมัครเรียนเปียโน แล้วที่โรงเรียนบอกว่าให้เลือกช่วงเวลาที่สะดวกมาหนึ่ง ชั่วโมงต่อหนึ่งสัปดาห์ แล้วในแต่ละคอร์สจะมีทั้งหมด 12 ครั้ง(12 ชั่วโมง) และเมื่อคิดว่าเรียนสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ก็จะเท่ากับว่าหนึ่งคอร์สจะใช้ระยะเวลาสามเดือน ตอนนั้นรู้สึกว่า อะไรกันสัปดาห์ละครั้งนี่มันจะพอได้ยังไง?? เราต้อง เรียนสัปดาห์ละสามวัน วันละสองชั่วโมงเป็นอย่างต่ำสิถึงจะถูก เหมือนเรียนพิเศษทั่วไปไง (เรียนพิเศษทั้วไปประมาณนี้ใช่ไหมคะ ถ้าไม่ใช้ก็ให้อภัยด้วยนะคะ เพราะเรามีประสบการณ์ในการเรียนพิเศษที่น้อยนิด แถมห่างหายมานานมากแล้วด้วยสิ)แต่เอ ดูมากี่ที่ๆ เค้าก็เรียนกันเท่านี้ แล้วเค้าก็บอกว่าต้องซ้อมๆๆ เพราะมันสำคัญจริงๆ ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ยังแอบคิดอยู่ดีว่ามันจะพอได้ไงก๊าน สัปดาห์ละหนึ่งชั่วโมงนี่อะนะ แต่สรุปก็ตกลงใจเรียน เลือกเวลาที่สะดวกและ จ่ายเงินค่าเรียนกับค่าหนังสือไปประมาณ 7,000 กว่าบาท

ตอนนี้เราเรียนมาจะครบ 24 ครั้งแล้ว และเข้าใจแล้วว่าทำไม เค้าถึงจัดหลักสูตรให้เรียนแค่หนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ เหตุผลก็เป็นอย่างที่ผู้ที่มีประสบการณ์เค้าว่ากันจริงๆ ว่าสิ่งสำคัญคือ เราต้องซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม เมื่อเข้าเรียนแล้วกลับมาบ้านก็จะต้องฝึกฝน เพราะวิชาดนตรีเป็นวิชาทักษะถ้าไม่ฝึก ก็เล่นไม่ได้หรือไม่ก็ลืมไม่คล่องแคล่วเหมือนคนที่เค้าซ้อมบ่อยๆ จริงอยู่ที่ทุกอย่างก็มีภาคทฤษฏี ดนตรีก็เช่นกัน ซึ่งเราก็ต้องเรียนรู้สัญลักษณ์ต่างๆ,คอร์ด และประวัติของดนตรีหรือแนวเพลงแต่ละชนิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นสื่อกลางและเป็นพื้นฐานในการฝึกเล่นดนตรี แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่คนคนหนึ่งซึ่งรู้จักสัญลักษณ์ และประวัติดนตรีและแนวเพลงทุกชนิดในโลก แต่ไม่เคยลงมือเล่นหรือฝึกซ้อมมาก่อน จะสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้อย่างคล่องแคล่วตั้งแต่ครั้งแรก ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการฝึกซ้อมนั้นเอง

1 ชั่วโมงที่เรียนกับคุณครู จะเป็นชั่วโมงที่เราจะเล่นเพลงต่างๆ ที่เราได้เรียนไปในคราวที่แล้วให้ครูฟัง และครูก็จะให้คำแนะนำถึงเรื่องจังหวะ และเทคนิคต่างๆ ที่จะทำให้เพลงเพลงนั้นมีความไพเราะและได้อารมณ์มากขึ้น ถ้าซ้อมมาเพียงพอและเล่นได้เป็นที่น่าพอใจ เราก็ถือว่าผ่านในเพลงนั้นๆ แต่ถ้าเล่นไม่ได้บางทีครูก็ให้เล่นจนกว่าจะได้ หรือให้ซ้อมมาใหม่แล้วมาเล่นให้ฟังอีกครั้งในสัปดาห์ต่อไป พูดถึงการเล่นต่อหน้าครูโดยไม่ได้ซ้อมมาหรือซ้อมมาไม่ดีนี่ เราตื้นเต้นอะไม่ถนัดเลย รู้สึกกดดัน ใครเป็นอย่างเราบ้างอะคะ.. หลังจากเสร็จการประเมินผลการเล่นเพลงต่างๆ ครูก็จะสอนเนื้อหาเรื่องใหม่ ซึ่งก็จะมีเพลงใหม่ในบทเหล่านั้นเพิ่มเติมขึ้นมาอีก คิดดูสิว่าถ้าไม่ซ้อมมาเรื่อยๆ จะเป็นดินพอกหางหมูแค่ไหน อีกอย่างวันธรรมดาเราก็ต้องไปทำงานกลับมาก็เหนื่อย ทำให้ขี้เกียจซ้อมแล้วได้มาซ้อมจริงจังก็แค่วันเสาร์ ทำให้เล่นได้ไม่ดีเท่าทีควรเพราะซ้อมน้อยไป ดังนั้นจากที่เคยคิดว่าทำไมไม่เรียนสัปดาห์ละหลายๆวัน ตอนนี้กลายมาเป็นว่า น่าจะเรียนหนึ่งชั่วโมงต่อสองสัปดาห์ดีกว่าเนอะ จะได้มีเวลาซ้อมมากขึ้น คือถ้าไปเรียนแบบไม่มีอะไรไปเลยนี่มันจะรู้สึกขาดทุนมาก ต้องไปนั่งงกๆเงิ่นๆ จิ้มผิดจิ้มถูก แทนที่จะได้ปรับปรุงเทคนิคตามที่ครูจะแนะนำ (การกดคีย์ให้ถูกเป็นเรื่องที่ฝึกฝนเองได้ ถ้าอ่านโน๊ตเป็น ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรฝึกมาตั้งแต่ที่บ้าน เรื่องจังหวะก็หมือนกันแต่ยากกว่า พูดง่ายๆก็คือ ฝึกมาก่อนแล้วให้ครูเกลา ไม่ใช้ไม่ทำอะไรเลย ของอย่างงี้ทำแทนกันไม่ได้) แล้วมันตกชั่วโมงละ 600 บาทนะ มิใช่ถูกๆ ดังนั้นอะไรที่ฝึกเองที่บ้านได้ก็ควรทำเสีย ส่วนเรื่องที่มัน advance ก็มาปรึกษาและรับฟังคำแนะนำของครูในหนึ่งชั่วโมงนั้น

ดังนั้นที่มีคำถามว่าเรียนสัปดาห์ละหนึ่งชัวโมงพอหรือไม่ ขอตอบว่าพอค่ะ ระหว่างสัปดาห์ก็ให้ฝึกซ้อมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “Practice makes perfect” อันนี้เป็นเรื่องจริงเสมอสำหรับทุกๆ อย่าง แล้วลองคิดดูเล่นๆ สิว่าถ้าต้องเรียนสัปดาห์ละหกชั่วโมงเหมือนที่เราคิดตอนแรกว่าน่าจะเป็นนั้น จะต้องเสียค่าเรียนสัปดาห์ละเท่าไหร่ 600*6 = 3,600 บาทค่ะ เหอๆๆ เดือนนึงก็ตก 14,400 เย้ไม่ต้องทานอะไรกันพอดี หึหึ ไม่ไหวหรอกค่า…

ดังนั้นถ้าอยากเก่งก็ต้อง ซ้อม ซ้อม แล้วก็ ซ้อม ค่ะ เหมือนคำที่คนๆ นึงบอกกับคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ตอนที่คุณบัณฑิต ถามเค้าว่า จะทำอย่างไรถึงจะได้ไปควบคุมวงที่จัดใน Carnegie Hall นั้นแหละค่ะ เขียน blog ตอนนี้ก็เพื่อเตือนตัวเองด้วยค่ะ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเหลวไหล ไม่ค่อยจะซ้อมเท่าไหร่เลยแล้วเมื่อไหร่จะได้เรื่องหละนี่ แก่ขึ้นทุกวันๆ เวลาไม่หวนกลับด้วย ต้องงกเวลาถึงจะถูกอย่าทำอะไรเพื่อฆ่าเวลาอีกเลย (สำนวนนี้ได้มาจาก fwd mail ค่ะ)

ส่วนอันนี้เป็นบอร์ดของคนรักเปียโนค่ะ มีการพูดคุย แนะนำเพลง แนะนำเทคนิค แล้วก็การซื้อขายเปียโน หรือ ถ้าใครต้องการคำแนะนำด้านการเลือกซื้อเปียโนก็ลองไปปรึกษา และศึกษาหาข้อมูลได้ค่ะ

Einstein and piano

เครดิตรูปจาก Instituto de Física ค่ะ

Posted in Uncategorized | 5 Comments

การยืดผมและอิสรภาพ

อ่านหัวข้อแล้วช่างเหมือนอะไรที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด โดยเฉพาะสำหรับผู้ชาย แต่สำหรับเรามันช่างรู้สึกดีจริงๆ กับความรู้สึกหลังยืดผม วันนี้หลังจากทานไดโดมอนและแยกย้ายกับน้องสาวที่เซ็นทรัลพระรามสองแล้ว เราก็นั่งแท๊กซี่กลับ พอลงรถปุ๊บก็ตรงไปที่ร้านทำผมเจ้าประจำซึ่งอยู่หน้าหมู่บ้านโดยทันที ฝนก็ยังตกมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่เซ็นทรัลแล้ว ผมที่โดนฝนแค่เพียงแป๊บเดียวในช่วงที่เราวิ่งลงจากรถมาที่ร้าน มันช่างกระเซอะกระเซิงสิ้นดี โหย..ไม่ชอบเลย
วันนี้แหละตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องขอให้ช่างยืดผมให้ได้ จากโพสต์ที่แล้วจะเห็นว่าเราเพิ่งไปทำสีผมมา ช่างเค้าก็เลยไม่อยากจะยืดให้เพราะกลัวว่าผมจะเสีย และเค้าก็เห็นว่าเราไปสระผมทำผมที่ร้านประจำอยู่ก็ไม่เห็นจะต้องยืดเลย เพราะพอทำผมที่ร้านออกจากร้านไปผมก็สวยตรงเป๊ะแล้ว ไม่เห็นจะต้องเสี่ยงกับผมเสียโดยการยืดผม เราเคยขอเค้าหลายครั้งแล้วเค้าก็บอกว่าให้รอสักสามเดือนแล้วค่อยยืด แต่..วันนี้ เรามุ่งมั่นมาก ช่างเค้าเลยต้องยอม เริ่มทำตั้งแต่ประมาณบ่ายสามกว่าๆ เสร็จประมาณ ทุ่มครึ่ง นั่งจนเหนื่อย ช่างเค้าตัดแต่งผมให้ด้วย ก็เอาตรงที่เสียๆ บางส่วนออก ดีจริงจริง ได้ตัดผมไปในตัว กำลังรู้สึกว่ามันเริ่มยาวไปหน่อยอยู่พอดี

อิสระที่ได้รับจากการยืดผม
คือ
1. สามารถสระผมเองได้หากจำเป็น ซึ่งอาจะเกิดในกรณีต่างๆดังนี้ คือ กลับบ้านค่ำไม่ทันร้านปิด,ไปเที่ยวต่างจังหวัด ติดเกาะ ติดเขา หาร้านไม่ได้ หรือ ราคาแพงจนรับไม่ได้ ซึ่งผมที่ยืดแล้วจะไม่ฟูเป็นสิงโต เหมือนผมที่ยังไม่ได้ยืด ถึงแม้จะไม่ได้สระและดรายโดยช่างก็ตาม
2. ช่วงนี้เข้าหน้าฝนแล้ว เสี่ยงกับการเปียกได้ง่ายมาก ผลลัพท์ที่ได้จากฝน คือ ผมเสียทรงและฟู พอยืดผมแล้วปัญหานี้ก็ไม่ต้องกังวล
3. สามารถปล่อยผมได้อย่างมั่นใจเป็นครั้งคราว ปกติไม่ค่อยปล่อยผมเท่าไหร่ เพราะรำคาญ แต่ถึงแม้จะมัดผมก็จะยังมีผมส่วนหน้าที่จะต้องเอาออกมาปกปิดหน้าบานบานของเรา ซึ่งผมส่วนนี้นั้นมันจะฟูง่ายมากเพราะมันสั้นกว่าส่วนอื่นๆ ซึ่งพอมันฟูก็จะน่าเกลียดมากรับไม่ได้ หงุดหงิด หงุดหงิด ยืดผมแล้วก็สบายหายห่วง

ข้อเสีย

1. หมดตังไปพันสี่….. ^__^” เดือนนี้หมดค่าเกี่ยวกับผมๆ ไปเยอะจริงๆ

ปล. การยืดผมก็คือการทำลายพันธะโปรตีนของเส้นผมนั่นเอง (น่าจะเป็นซัลไฟล์บอนด์นะคะ แต่ไม่แน่ใจ) คราวนี้พอพันธะที่เคยทำให้ผมหยิก หรือหยักศก ถูกทำลายไปแล้ว ผมก็จะตรงอยู่อย่างนั้น โดยน้ำไม่สามารถทำให้โปรตีนคืนรูปเป็นดังเดิมได้ แต่การดรายผมที่ร้านนั้นจะเป็นการทำให้มีการยืดตัวเพียงชั่วคราวโดยการใช้ความร้อน และเมื่อมีการสัมผัสสิ่งแวดล้อม ลม ฝน ต่างๆ ก็จะทำให้ผมคืนสู่สภาพเดิม ซึ่งสภาพเดิมของเราก็คือ หยักศกนิดหน่อย แล้วก็ฟูฟู ทำให้เราดูหัวโตยิ่งนัก ก็เลยต้องจัดการทำลายบอนด์ขั้นเด็ดขาด ด้วยประการฉะนี้แล

Posted in Uncategorized | Comments Off

ทำสีผมใหม่อีกแล้ว

เมื่อวันพุธ ที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา ได้ฤกษ์ส่งงานชิ้นแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย แต่จริงๆแล้วอันนั้นอะเป็นงานของปีที่แล้วอ่า ส่วนงานของปีนี้เพิ่งได้เริ่มดูไปแค่กระจึ๋งเดียวเอง จะรอดไหมนี่ แต่ก็เอาเถอะค่ะไหนๆ ส่งงานแล้วทั้งที ต้องทำสีผมสักหน่อยจะได้กระชุ่มกระชวย ต้อนรับงานต่อไป (หาเรื่องเสียเงินชัดๆเลย อิอิ) ว่าแล้วก็เดินไปที่ร้าน พร้อมหนังสือสามเล่ม สองเล่มแรกเป็นคลีโอ จะเอาแบบสีไปให้ช่างดู ส่วนแล่มที่สามเป็นหนังสือเรื่อง Software Testing ไว้อ่านตอนระหว่างการทำสี ขยันจริงจริ๊งงงง แต่หนังสือเล่มนี้อ่านแล้วสนุกดี ได้คะแนนใน amazon ตั้ง 4 ดาว กลับมาเรื่องสีผมต่อนะคะ เราเอาแบบสีผมของ ทาทา ยัง และมิชชา บาร์ตั้น ไปให้ช่างดู แบบว่าอยากได้สีพื้นแบบทาทา และอยากได้ไฮไลท์แบบ มิชชา เรื่องมากเสียจริงเรา และช่างก็เริ่มด้วยการทำไฮไลท์ก่อนเป็นช่อๆ และค่อยโกรกสีัทับ โดยเหตุผลที่ทำไฮไลท์ก่อนเพราะ อยากให้สีที่ได้ไม่โดดจนเกินไป จะดูซอร์ฟกว่าการทำไฮไลท์ทีหลัง สรุปออกมาก็โอเค แต่กำลังคิดว่าถ้าไม่มีไฮไลท์น่าจะดีกว่าหรือป่าว หรือไม่ก็ไม่ต้องทำไฮไลท์ข้างหน้า แต่ตอนนี้อาจจะยังไม่คุ้นกับหน้าตัวเองเลยรู้สึกแปลกๆ แต่จริงๆแล้วก็ชอบเหมือนกัน เพราะเราบอกช่างเองว่าเอาสีให้เห็นชัดๆ ให้รู้ว่าทำ อิอิ ดูรูปได้จากข้างล่างเลยค่ะ (อ้วน หน้าบาน มั่กๆ เห้อ….ช่วงนี้ทานขนมครกทุกวันเลย ก็มันอาหร่อยยยย)

brownhair with hilight

พรุ่งนี้ไปทำงานจะโดนทักไหมหนอ อาจจะโดนทักว่าแก่ไวจัง ไม่เจอแค่สามวัน ผมหงอกขึ้นแล้ว แป่ว…..! ~@^ ^”@~

Posted in Uncategorized | 1 Comment