ได้ฤกษ์ส่งเสียที…เอกสาร AOS

9 ตุลาคม 2551

ตามธรรมเนียมก็ต้องสรุปเวลาคร่าวๆนิดนึงค่ะ ว่าเวลาได้ล่วงเลยมานานแค่ไหนแล้วนับตั้งแต่วันที่เหิรฟ้าจากสุวรรณภูมิ ตอนนี้ก็ใกล้จะครบสองเดือนแล้วหละค่ะ เดี๋ยววันนี้เล่าเป็นเรื่องๆ แบ่งเป็นหัวข้อดีกว่าเนอะคะ อ่านง่ายดี (คิดเอง แต่จริงๆวันนี้มีแค่สองหัวข้อเองหละค่ะ)

Adjustment of Status (AOS)
ถ้าให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การขอกรีนการ์ดนั้นเองค่ะ เป็นการขอปรับสถานะจากวีซ่า K1 ที่เราถืออยู่ตอนนี้ไปเป็น lawful permanent residency ของประเทศนี้ ซึ่งพอได้มาแล้วเราก็จะได้มีสิทธิ์ทำงานได้ค่ะ (ตอนนี้เพื่อนๆ ถามกันมากันหลายคนว่าทำงานอะไร คำตอบก็คือกำลังศึกษาตำราจอมยุทธ์ในครัวอยู่ค่ะ ห้าๆ เพราะตอนนี้เรายังไม่มีสิทธิ์ทำงานนะจ๊ะ) อันนี้ตอนนี้เราส่งเอกสารไปเรียบร้อยแล้วค่ะ ลองนับๆดูใช้เวลาเตรียมเอกสารตั้งสามสัปดาห์แหนะค่ะกว่าจะได้ส่ง ช่วงนั้นเพ้อเจ้อมาก AOS AOS วิ่งวนอยู่ในหัวตลอดเวลาแบบว่าอยากให้เสร็จไวๆ ในแพคเกจเดียวกันนี้เราได้ส่งเอกสารเพื่อขอใบอนุญาตทำงานชั่วคราวและใบขอ อนุญาตออกนอกประเทศไปด้วยค่ะ เพราะไม่รู้จะได้กรีนการ์ดมาเมื่อไหร่ (เค้าจะอนุมัติหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหานะคะ แต่บางเคสเป็นปีเลยก็มีค่ะ) เราจะได้สามารถทำงานและออกนอกประเทศได้ในช่วงที่รอผลกรีนการ์ดค่ะ (สำหรับใบอนุญาตทำงานชั่วคราวนี้ถ้าไม่ได้รับภายใน 90 วัน เราสามารถไปร้องขอที่ local office ได้ค่ะ …เราก็ได้แต่หวังว่าคงจะได้มาก่อน 90 วันนะคะ) พอส่งเอกสารไปแล้วเราก็เฝ้าเช็คตลอดว่าไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมาเอกสารของเราก็ไปถึงออฟฟิศที่ Chicago เรียบร้อยแล้วค่ะ (เราใช้บริการ FedEx ส่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ตอนประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ ค่าบริการ $20 ค่ะ)

มะรุมมะตุ้มรุมรัก Sarunya
ที่รุมรักนี่ ไม่ใช่คนนะแต่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ เหอะๆ สงสัยร่างกายกำลังปรับสภาพอย่างหนัก เริ่มตั้งแต่เป็นหวัดไปหนึ่งสัปดาห์ หนาวๆร้อนๆ เจ็บคอ จาม คัดจมูก ครบสูตรมาตรฐานหวัดอินเตอร์ พอเริ่มหายหวัดก็ดีใจมาก อ้อก่อนหน้าเป็นหวัดก็มีโดนกัดโดยแมลงอะไรก็ไม่รู้สิบกว่าเม็ดเห็นจะได้ รอบเอวเลย มีตรงขาด้วย มันช่างคันอย่างรุนแรงต้องทายาหม่องให้เย็นๆไว้ช่วยได้พอสมควร หรือทาแป้งมันละลายน้ำก็ได้มันจะช่วยให้เย็นๆ ลดคันได้นิดหน่อยแต่ไม่ค่อยจะสะดวกเพราะพอแห้งแป้งมันจะเป็นผงเลอะไปหมด ตอนทาก็ทาไม่ค่อยจะติดด้วยต้องใช้พู่กันช่วย หลังจากหายหวัดก็มีอาการริมฝีปากบนตรงกลางบวมแต่พอตื่นเช้าขึ้นมาก็หายไป อีกสองวันต่อริมฝีปากด้านขวาบวมอีก เริ่มบวมจากด้านล่างพอสักพักด้านบนก็บวมตามมาติดๆ คันด้วย คิดว่าน่าจะแพ้กุ้งค่ะ (แต่จริงๆ ไม่สามารถยอมรับได้เลยค่ะว่าแพ้กุ้งอะ เราโตมากับอาหารทะเลแท้ๆ หรือว่าอาจจะแพ้แค่กุ้งซีแอตเติล?) อาการปากบวมนี่แค่ข้ามคืนก็หายค่ะ เลยได้เป็นแองโจลี่น่าโจลี่แค่แป๊บเดียว อิอิ แต่ของเค้าเจ่อสวยของเรางี้บวมแบบไม่สมมาตร หายเจ่อก็ดีแล้วค่ะ

ต่อค่ะต่อยังไม่หมดบอกแล้วว่ามีแต่โรครุมรัก อยู่ที่บ้านก็ใช้คอมที่อยู่บนโต๊ะทำงานสรุปว่าพอสักพักตรงใกล้ๆ ข้อมือที่สัมผัสกับขอบโต๊ะตอนพิมพ์ ก็บวมคันอีก เลยเลื่อนคอมออกไปให้ห่างจากตัวจะได้ถ่ายน้ำหนักไปที่แขน สรุปว่าคราวนี้ตรงใกล้ข้อศอกตรงจุดสัมผัสกับโต๊ะก็บวมแดงขึ้นอีก (เฮ้อ) สรุปต้องเอาผ้ามาปูโต๊ะค่ะ เหอะๆ รองให้มันนุ่มๆ และจะได้ไม่ต้องสัมผัสกับโต๊ะโดยตรงเพราะไม่แน่อาจจะไม่ถูกกับน้ำมันและสี ที่เคลือบโต๊ะ พอดีโต๊ะใหม่มากค่ะ พ่อไมเคิลเพิ่งทำให้เสร็จหมาดๆ อิอิ อาจจะยังมีอะไรตกค้างอยู่นิดๆหน่อยๆ (แต่เราถูกใจโต๊ะมาก เพราะว่าใหญ่เท่าบ้านดีค่ะ จริงๆอาจเล็กกว่า(ทางเข้า)บ้านนิดนึงเพราะมันทำมาจากประตูค่ะ อิอิ เวิคมากๆ ขอบคุณนะคะ)

สุดท้ายแล้วค่ะนั้นก็คือ อาการปวดข้อเท้าขวาตรงเอ็นด้านหลังข้อเท้า (ถ้าเปรียบเทียบกันกับข้อเท้าอีกข้างจะเห็นได้เลยว่าข้อเท้าขวาตรงเอ็นด้าน หลังนั้นแดงและร้อนกว่าอีกข้างหนึ่งซึ่งคงเป็นจากอาการอักเสบอ่าค่ะ) ตื่นเช้าขึ้นมาก็ปวดขึ้นมาเฉยๆปวดมากด้วย เราเดินแบบเดี้ยงอยู่สามวัน พอวันที่สามตอนค่ำเลยทาน Ibuprofen เข้าไปหนึ่งเม็ดอีกสักพักก็หายปวดไปมากเลยค่ะ วันนี้ก็ไม่รู้สึกปวดเท่าไหร่แล้วสงสัยอาการอักเสบจะลดลง ตอนนี้กำลังกลัวนิดหน่อยค่ะถ้าข้อเท้าไม่ค่อยดีแล้วจะไปเที่ยวไม่ไหว เพราะตั้งแต่ที่เราขาแพลงตอนขาลงภูกระดึงเมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมา (มีรูปๆค่ะ ด้านล่างๆ) เราก็เจ็บข้อเท้าซ้ายมาตลอดโดยเฉพาะถ้าเดินๆอย่างต่อเนื่องจะรู้สีกเจ็บได้ อย่่างชัดเจน แล้วอยู่ดีๆก็มาปวดด้านขวาอีก ทำให้หวาดผวาเล็กน้อยว่าจะไปเที่ยวออกแนวลุยๆ ไม่ไหว เพราะเราชอบมากพวกเดินป่าขึ้นเขาไรงี้อ่าค่ะ แถมมีโปรเจ็คอยากเล่นพวกสกี กับสโนบอร์ดอีก hang gliding ด้วย (กรี๊ด…อยากเล่นมากๆ) สงสัยต้องออกกำลังฟิตร่างกายกันหน่อยแล้วหละค่ะ จะได้แข็งแรงพร้อมเที่ยวได้เสมอ

รูปตอนข้อเท้าซ้ายบวมเนื่องจากอุบัติเหตุขาลงจากภูกระดึงค่ะ (มันจะปูดๆ วันต่อๆมาหลังเท้าก็บวมฉึ่งตอนเดินจะรู้สึกเหมือนว่ามีเจลโล่อยู่ข้างในค่ะ แบบว่ารู้สึกดึ๋งๆ)
ผลเนื่องจากความซุ่มซ่าม...เดินตกถูกระดึงซะงั้น
.

อันนี้เทียบกับข้อเท้าด้านขวาที่เป็นปรกติ จะเห็นว่าตรงข้อเท้าจะอ้วนพีกว่ากันค่ะ

อวบอ้วนกว่ากันเห็นๆ
.

ปล. สืบเนื่องมากจากตอนโดนแมลงกัดรอบเอวแล้วต้องหาอะไรทาให้มันหายคัน ก็ได้ค้นพบว่าเล่นแป้งมันผสมน้ำนี่สนุกมากเลยค่ะ พอเราจับมันขึ้นมามันก็กลายร่างเป็นของเหลวแล้วก็ไหลวืดกลับลงเลยให้ความ รู้สึกประหลาดมาก สรุปไปลองหาใน youtube มีวิดิโอที่เกี่ยวกับแป้งผสมน้ำเยอะแยะเลยแต่จะเป็นแป้งข้าวโพด(corn starch) ค่ะ ยกตัวอย่างอันด้านล่างนี้ สนุกดีจัง

This entry was posted in Souvenirs. Bookmark the permalink.