การเดินทางครั้งที่สอง (USA)

Note: ขอนำมาโพสต์ย้อนหลังค่ะ เพราะเขียนไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วแต่ไม่ได้เอามาลงเสียที เพราะรอรูปอยู่ ตอนนี้ขี้เกียจรอแล้ว เอาเป็นว่าถ้าได้รูปในช่วงระหว่างการเดินทางมาเมื่อไหร่ ก็จะเอามาลงเพิ่มนะคะ จริงๆ อยากได้รูปแบบว่าลากกระเป๋าอยู่เท่านั้นเองค่ะ เพื่อเพิ่มอรรถรส อิอิ

20 สิงหาคม 2551
วันนี้ก็เป็นวันที่หกนับตั้งแต่วันที่มาถึง อเมริกาเมื่อวันพุธที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา พรุ่งนี้ก็ครบหนึ่งสัปดาห์พอดี… ก็ขอเขียนย้อนไปถึงการเดินทางและวันแรกที่มาถึงแบบพอสังเขปดังนี้ค่ะ (หลังจากไม่ได้อัพเดทมาจะเกือบสี่เดือนเห็นจะได้)

การเดินทางจากไทย
ครั้ง นี้ใช้บริการของ EVA Airlines ราคาตั๋ว one way ช่่วงนำ้มันแพงช่างน่าปวดใจปาไป 28,300 บาท ครั้งแรกที่โทรไปถามเอเจนซี่เค้าบอกว่า 22,000 บาท เราก็รีรอไม่ได้ตกลงซื้อทันที หนีึ่งสัปดาห์ถัดมาขึ้นเป็น 29000 โอ้โหตะลึงแบบอึ้งเครียด สรุปว่าไปซื้ออีกเจ้าหนึ่งถูกกว่า 700 บาท เห้อ… เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าราคาตั๋วเป็นที่รัับได้แล้วให้ซื้อเลย หรือห้ามรอข้ามอาทิตย์โดยเด็ดขาด ถ้าให้ดีก็คือห้ามเกินวันศุกร์ของสัปดาห์นั้น เพราะเอเจนซี่บางเจ้่าไม่เปิดทำการในวันเสาร์อาทิตย์ ไม่งั้นจะเจออย่างเรา 6,000 กว่าบาทหายเข้ากลีบเฆฆไปเสียอย่างนั้น มาถึงวันเดินทาง โชคดีที่ครั้งนี้ดีเลย์แค่ 20 กว่านาทีถือว่าเล็กน้อยให้อภัยได้ ขอให้ไปต่อเครื่องที่ไทเปทันก็พอ (เราเคยเลื้อยที่ดอนเมืองอยู่ 10 ชั่วโมง เมื่อสามปีที่แล้ว โดย China Airlines ทารุณเป็นอันมาก และก่อให้เกิดเรื่องตื่นเต้นอื่นตามมาอีก เหอะๆ) สรุปว่าการเดินทางครั้งนี้แบ่งออกเป็นสองช่วงคือ
ช่วงที่ 1. กรุงเทพ-ไทเป (3 ชั่วโมง 35 นาที) -กิจกรรมบนเครื่องบินก็คือ รับประทานแล้วก็ดูหนังเรื่อง Kungfu Panda สนุก ตลกดี
ช่วง ที่ 2. ไทเป – ซีแอตเติล (11 ชั่วโมง) – กิจกรรมบนเครื่องไม่มีอะไรนอกจาก กินเสร็จแล้วก็นอนและตื่นมากินต่อ ตอนแรกกะจะดูหนังเรื่อง 88 minutes แต่ว่าง่วงเลยขี้เกียจดูเสียงั้น 11 ชั่วโมงช่างยาวนานปวดขาเป็นอันมากแถมปวดตลอดเลย อาการปวดจะเหมือนกับตอนที่ต้องถ่างตาทำงานแล้วไม่ได้นอนอะค่ะ แต่ในกรณีนี้คงเป็นเพราะนั่งนานแล้วก็ความดันในเครื่องบินที่แตกต่างจากความ ดันปรกติบนพื้นดิน รวมถึงที่เครื่องบินมีการสั่นสะเทือนตลอดเวลาแต่เราเองอาจจะไม่รู้ตัว (รู้สึกจะมีคนอ๊วกในเครื่องด้วยอะแบบว่าได้กลิ่น ดีนะที่กลิ่นไม่ได้รุนแรงเหมือนคนที่อ๊วกในรถตู้ตอนไปปาย อันนั้นนี้สุดยอดดดด)
ปล. เสียค่ากระเป๋าน้ำหนักเกินไป $50 (ใบละ $25) ของ Economy class ให้ใบละ 23 กิโลกรัม คนละ 2 ใบ จริงๆ น้ำหนักรวมเราไม่เกิน 46 กิโลกรัมหรอกค่ะแต่ว่าเค้าคิดเป็นใบนี่สิ จะให้เอาของจากใบใหญ่ไปใส่ในใบเล็กก็ไม่ได้ ตอนเวลานั้นก็ไม่อยากทำแล้วด้วยเลยต้องยอมเสียไป (ไมเคิลยังยืนยันว่าในเว็บเขียนว่าให้ 32 kg แต่ให้เช็คกับสายการบินอีกทีแต่พอโทรไปก็ติดต่อไม่ได้ ผลก็เป็นเช่นดังนี้ หึหึ) แต่ก็ยังดีที่เค้าขนไม้กอล์ฟให้ฟรีไม่งั้นคงไม่ได้เอากลับมานี่แน่

ถึงอเมริกา
ครั้ง นี้เข้าประเทศที่ซีแอตเติลที่สนามบิน SeaTac ที่ตรวจคนเข้าเมืองก็เรียบร้อยดี แต่ก็ต้องรอนานอีกตามเคยกว่าเค้าจะจัดการเอกสารเสร็จ คือจริงๆแล้วเค้าจัดการวีซ่าท่องเที่ยวหรือวีซ่านักเรียนอะไรแบบนี้ก่อน แล้วหลังจากนั้นถึงจะเป็นวีซ่าพวกกึ่งๆ อพยพแบบเรา (ตอนสัมภาษณ์วีซ่าที่ไทยก็เป็นแบบเดียวกันเลยแต่นานกว่าเยอะ รอตั้งแต่คนเต็มห้องจนสุดท้ายเหลือแค่ห้าหกคน เรารอห้าชั่วโมงกว่าอะค่ะ แต่ถามตอบจริงๆแค่ห้านาที หึหึ) พอออกมาพ่อกับแม่ไมเคิลก็มารอรับอยู่แล้ว จากนั้นก็ขนกระเป๋าไปใส่รถ (ใส่พอด้วยอะ รถดูคันเล็กแต่เอนกประสงค์ชะมัด รถที่ว่านี่ก็คือ Volkswaken Golf ของไมเคิลนั้นเอง) และเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านไมเคิล ใช้เวลาประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมง) มาถึงก็ทานข้าวกับสตูเนื้อ ที่แม่ไมเคิลทำ อร่อยมาก จากนั้นก็อาบน้ำแล้วก็เข้านอน
ปล. ตอนเขียนใบ declare ระบุไปด้วยว่ามีชามาหนึ่งถุง แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่มี สรุปว่าตอนนี้คืนถิ่นกลับไปอยู่กระบี่เรียบร้อย เฮ้อเสียดาย ซื้อมาจากร้านนวดไทยที่กระบี่ ครั้งนี้อุตส่าห์มีของและซื้อมาได้แล้วเชียว รอมาสองปีกว่าสุดท้ายไม่ได้เอามาจนได้เศร้าจริงๆ (ใครอยากสมนาคุณซื้อผงชามะตูม ส่งมาให้เราที่นี่ก็ได้นะคะ จะปลาบปลื้มและรู้สึกขอบคุณอย่างม๊ากมากค่ะ อิอิ)

รายงานสภาพอากาศ
สาม วันแรกของการมาถึง อากาศดีสุดๆ ร้อนนนมาก นึกว่าอยู่ประเทศไทยตอนหน้าร้อน (เห็นเค้าเรียกกันว่า soft landing หมายถึงเราไม่ได้เจอสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากเดิมมากนักในที่ใหม่ แบบว่าลงจอดแบบนิ่มๆ) หลังจากนั้นสิ่งที่คนที่นี่คุ้นเคยก็กลับมาคือ ฝนตก ครึ้มและเย็น ตอนนี้เริ่มเข้าใจนิดหน่อยว่าทำไมคนที่นี่ถึงได้ดีใจนักเวลาแดดออก อิอิ

คิดถึงทุุกคนนะคะ :)

This entry was posted in Souvenirs. Bookmark the permalink.