ได้ฤกษ์ส่งเสียที…เอกสาร AOS

9 ตุลาคม 2551

ตามธรรมเนียมก็ต้องสรุปเวลาคร่าวๆนิดนึงค่ะ ว่าเวลาได้ล่วงเลยมานานแค่ไหนแล้วนับตั้งแต่วันที่เหิรฟ้าจากสุวรรณภูมิ ตอนนี้ก็ใกล้จะครบสองเดือนแล้วหละค่ะ เดี๋ยววันนี้เล่าเป็นเรื่องๆ แบ่งเป็นหัวข้อดีกว่าเนอะคะ อ่านง่ายดี (คิดเอง แต่จริงๆวันนี้มีแค่สองหัวข้อเองหละค่ะ)

Adjustment of Status (AOS)
ถ้าให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การขอกรีนการ์ดนั้นเองค่ะ เป็นการขอปรับสถานะจากวีซ่า K1 ที่เราถืออยู่ตอนนี้ไปเป็น lawful permanent residency ของประเทศนี้ ซึ่งพอได้มาแล้วเราก็จะได้มีสิทธิ์ทำงานได้ค่ะ (ตอนนี้เพื่อนๆ ถามกันมากันหลายคนว่าทำงานอะไร คำตอบก็คือกำลังศึกษาตำราจอมยุทธ์ในครัวอยู่ค่ะ ห้าๆ เพราะตอนนี้เรายังไม่มีสิทธิ์ทำงานนะจ๊ะ) อันนี้ตอนนี้เราส่งเอกสารไปเรียบร้อยแล้วค่ะ ลองนับๆดูใช้เวลาเตรียมเอกสารตั้งสามสัปดาห์แหนะค่ะกว่าจะได้ส่ง ช่วงนั้นเพ้อเจ้อมาก AOS AOS วิ่งวนอยู่ในหัวตลอดเวลาแบบว่าอยากให้เสร็จไวๆ ในแพคเกจเดียวกันนี้เราได้ส่งเอกสารเพื่อขอใบอนุญาตทำงานชั่วคราวและใบขอ อนุญาตออกนอกประเทศไปด้วยค่ะ เพราะไม่รู้จะได้กรีนการ์ดมาเมื่อไหร่ (เค้าจะอนุมัติหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหานะคะ แต่บางเคสเป็นปีเลยก็มีค่ะ) เราจะได้สามารถทำงานและออกนอกประเทศได้ในช่วงที่รอผลกรีนการ์ดค่ะ (สำหรับใบอนุญาตทำงานชั่วคราวนี้ถ้าไม่ได้รับภายใน 90 วัน เราสามารถไปร้องขอที่ local office ได้ค่ะ …เราก็ได้แต่หวังว่าคงจะได้มาก่อน 90 วันนะคะ) พอส่งเอกสารไปแล้วเราก็เฝ้าเช็คตลอดว่าไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมาเอกสารของเราก็ไปถึงออฟฟิศที่ Chicago เรียบร้อยแล้วค่ะ (เราใช้บริการ FedEx ส่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ตอนประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ ค่าบริการ $20 ค่ะ)

มะรุมมะตุ้มรุมรัก Sarunya
ที่รุมรักนี่ ไม่ใช่คนนะแต่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ เหอะๆ สงสัยร่างกายกำลังปรับสภาพอย่างหนัก เริ่มตั้งแต่เป็นหวัดไปหนึ่งสัปดาห์ หนาวๆร้อนๆ เจ็บคอ จาม คัดจมูก ครบสูตรมาตรฐานหวัดอินเตอร์ พอเริ่มหายหวัดก็ดีใจมาก อ้อก่อนหน้าเป็นหวัดก็มีโดนกัดโดยแมลงอะไรก็ไม่รู้สิบกว่าเม็ดเห็นจะได้ รอบเอวเลย มีตรงขาด้วย มันช่างคันอย่างรุนแรงต้องทายาหม่องให้เย็นๆไว้ช่วยได้พอสมควร หรือทาแป้งมันละลายน้ำก็ได้มันจะช่วยให้เย็นๆ ลดคันได้นิดหน่อยแต่ไม่ค่อยจะสะดวกเพราะพอแห้งแป้งมันจะเป็นผงเลอะไปหมด ตอนทาก็ทาไม่ค่อยจะติดด้วยต้องใช้พู่กันช่วย หลังจากหายหวัดก็มีอาการริมฝีปากบนตรงกลางบวมแต่พอตื่นเช้าขึ้นมาก็หายไป อีกสองวันต่อริมฝีปากด้านขวาบวมอีก เริ่มบวมจากด้านล่างพอสักพักด้านบนก็บวมตามมาติดๆ คันด้วย คิดว่าน่าจะแพ้กุ้งค่ะ (แต่จริงๆ ไม่สามารถยอมรับได้เลยค่ะว่าแพ้กุ้งอะ เราโตมากับอาหารทะเลแท้ๆ หรือว่าอาจจะแพ้แค่กุ้งซีแอตเติล?) อาการปากบวมนี่แค่ข้ามคืนก็หายค่ะ เลยได้เป็นแองโจลี่น่าโจลี่แค่แป๊บเดียว อิอิ แต่ของเค้าเจ่อสวยของเรางี้บวมแบบไม่สมมาตร หายเจ่อก็ดีแล้วค่ะ

ต่อค่ะต่อยังไม่หมดบอกแล้วว่ามีแต่โรครุมรัก อยู่ที่บ้านก็ใช้คอมที่อยู่บนโต๊ะทำงานสรุปว่าพอสักพักตรงใกล้ๆ ข้อมือที่สัมผัสกับขอบโต๊ะตอนพิมพ์ ก็บวมคันอีก เลยเลื่อนคอมออกไปให้ห่างจากตัวจะได้ถ่ายน้ำหนักไปที่แขน สรุปว่าคราวนี้ตรงใกล้ข้อศอกตรงจุดสัมผัสกับโต๊ะก็บวมแดงขึ้นอีก (เฮ้อ) สรุปต้องเอาผ้ามาปูโต๊ะค่ะ เหอะๆ รองให้มันนุ่มๆ และจะได้ไม่ต้องสัมผัสกับโต๊ะโดยตรงเพราะไม่แน่อาจจะไม่ถูกกับน้ำมันและสี ที่เคลือบโต๊ะ พอดีโต๊ะใหม่มากค่ะ พ่อไมเคิลเพิ่งทำให้เสร็จหมาดๆ อิอิ อาจจะยังมีอะไรตกค้างอยู่นิดๆหน่อยๆ (แต่เราถูกใจโต๊ะมาก เพราะว่าใหญ่เท่าบ้านดีค่ะ จริงๆอาจเล็กกว่า(ทางเข้า)บ้านนิดนึงเพราะมันทำมาจากประตูค่ะ อิอิ เวิคมากๆ ขอบคุณนะคะ)

สุดท้ายแล้วค่ะนั้นก็คือ อาการปวดข้อเท้าขวาตรงเอ็นด้านหลังข้อเท้า (ถ้าเปรียบเทียบกันกับข้อเท้าอีกข้างจะเห็นได้เลยว่าข้อเท้าขวาตรงเอ็นด้าน หลังนั้นแดงและร้อนกว่าอีกข้างหนึ่งซึ่งคงเป็นจากอาการอักเสบอ่าค่ะ) ตื่นเช้าขึ้นมาก็ปวดขึ้นมาเฉยๆปวดมากด้วย เราเดินแบบเดี้ยงอยู่สามวัน พอวันที่สามตอนค่ำเลยทาน Ibuprofen เข้าไปหนึ่งเม็ดอีกสักพักก็หายปวดไปมากเลยค่ะ วันนี้ก็ไม่รู้สึกปวดเท่าไหร่แล้วสงสัยอาการอักเสบจะลดลง ตอนนี้กำลังกลัวนิดหน่อยค่ะถ้าข้อเท้าไม่ค่อยดีแล้วจะไปเที่ยวไม่ไหว เพราะตั้งแต่ที่เราขาแพลงตอนขาลงภูกระดึงเมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมา (มีรูปๆค่ะ ด้านล่างๆ) เราก็เจ็บข้อเท้าซ้ายมาตลอดโดยเฉพาะถ้าเดินๆอย่างต่อเนื่องจะรู้สีกเจ็บได้ อย่่างชัดเจน แล้วอยู่ดีๆก็มาปวดด้านขวาอีก ทำให้หวาดผวาเล็กน้อยว่าจะไปเที่ยวออกแนวลุยๆ ไม่ไหว เพราะเราชอบมากพวกเดินป่าขึ้นเขาไรงี้อ่าค่ะ แถมมีโปรเจ็คอยากเล่นพวกสกี กับสโนบอร์ดอีก hang gliding ด้วย (กรี๊ด…อยากเล่นมากๆ) สงสัยต้องออกกำลังฟิตร่างกายกันหน่อยแล้วหละค่ะ จะได้แข็งแรงพร้อมเที่ยวได้เสมอ

รูปตอนข้อเท้าซ้ายบวมเนื่องจากอุบัติเหตุขาลงจากภูกระดึงค่ะ (มันจะปูดๆ วันต่อๆมาหลังเท้าก็บวมฉึ่งตอนเดินจะรู้สึกเหมือนว่ามีเจลโล่อยู่ข้างในค่ะ แบบว่ารู้สึกดึ๋งๆ)
ผลเนื่องจากความซุ่มซ่าม...เดินตกถูกระดึงซะงั้น
.

อันนี้เทียบกับข้อเท้าด้านขวาที่เป็นปรกติ จะเห็นว่าตรงข้อเท้าจะอ้วนพีกว่ากันค่ะ

อวบอ้วนกว่ากันเห็นๆ
.

ปล. สืบเนื่องมากจากตอนโดนแมลงกัดรอบเอวแล้วต้องหาอะไรทาให้มันหายคัน ก็ได้ค้นพบว่าเล่นแป้งมันผสมน้ำนี่สนุกมากเลยค่ะ พอเราจับมันขึ้นมามันก็กลายร่างเป็นของเหลวแล้วก็ไหลวืดกลับลงเลยให้ความ รู้สึกประหลาดมาก สรุปไปลองหาใน youtube มีวิดิโอที่เกี่ยวกับแป้งผสมน้ำเยอะแยะเลยแต่จะเป็นแป้งข้าวโพด(corn starch) ค่ะ ยกตัวอย่างอันด้านล่างนี้ สนุกดีจัง

Posted in Souvenirs | Comments Off

การเดินทางครั้งที่สอง (USA)

Note: ขอนำมาโพสต์ย้อนหลังค่ะ เพราะเขียนไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วแต่ไม่ได้เอามาลงเสียที เพราะรอรูปอยู่ ตอนนี้ขี้เกียจรอแล้ว เอาเป็นว่าถ้าได้รูปในช่วงระหว่างการเดินทางมาเมื่อไหร่ ก็จะเอามาลงเพิ่มนะคะ จริงๆ อยากได้รูปแบบว่าลากกระเป๋าอยู่เท่านั้นเองค่ะ เพื่อเพิ่มอรรถรส อิอิ

20 สิงหาคม 2551
วันนี้ก็เป็นวันที่หกนับตั้งแต่วันที่มาถึง อเมริกาเมื่อวันพุธที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา พรุ่งนี้ก็ครบหนึ่งสัปดาห์พอดี… ก็ขอเขียนย้อนไปถึงการเดินทางและวันแรกที่มาถึงแบบพอสังเขปดังนี้ค่ะ (หลังจากไม่ได้อัพเดทมาจะเกือบสี่เดือนเห็นจะได้)

การเดินทางจากไทย
ครั้ง นี้ใช้บริการของ EVA Airlines ราคาตั๋ว one way ช่่วงนำ้มันแพงช่างน่าปวดใจปาไป 28,300 บาท ครั้งแรกที่โทรไปถามเอเจนซี่เค้าบอกว่า 22,000 บาท เราก็รีรอไม่ได้ตกลงซื้อทันที หนีึ่งสัปดาห์ถัดมาขึ้นเป็น 29000 โอ้โหตะลึงแบบอึ้งเครียด สรุปว่าไปซื้ออีกเจ้าหนึ่งถูกกว่า 700 บาท เห้อ… เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าราคาตั๋วเป็นที่รัับได้แล้วให้ซื้อเลย หรือห้ามรอข้ามอาทิตย์โดยเด็ดขาด ถ้าให้ดีก็คือห้ามเกินวันศุกร์ของสัปดาห์นั้น เพราะเอเจนซี่บางเจ้่าไม่เปิดทำการในวันเสาร์อาทิตย์ ไม่งั้นจะเจออย่างเรา 6,000 กว่าบาทหายเข้ากลีบเฆฆไปเสียอย่างนั้น มาถึงวันเดินทาง โชคดีที่ครั้งนี้ดีเลย์แค่ 20 กว่านาทีถือว่าเล็กน้อยให้อภัยได้ ขอให้ไปต่อเครื่องที่ไทเปทันก็พอ (เราเคยเลื้อยที่ดอนเมืองอยู่ 10 ชั่วโมง เมื่อสามปีที่แล้ว โดย China Airlines ทารุณเป็นอันมาก และก่อให้เกิดเรื่องตื่นเต้นอื่นตามมาอีก เหอะๆ) สรุปว่าการเดินทางครั้งนี้แบ่งออกเป็นสองช่วงคือ
ช่วงที่ 1. กรุงเทพ-ไทเป (3 ชั่วโมง 35 นาที) -กิจกรรมบนเครื่องบินก็คือ รับประทานแล้วก็ดูหนังเรื่อง Kungfu Panda สนุก ตลกดี
ช่วง ที่ 2. ไทเป – ซีแอตเติล (11 ชั่วโมง) – กิจกรรมบนเครื่องไม่มีอะไรนอกจาก กินเสร็จแล้วก็นอนและตื่นมากินต่อ ตอนแรกกะจะดูหนังเรื่อง 88 minutes แต่ว่าง่วงเลยขี้เกียจดูเสียงั้น 11 ชั่วโมงช่างยาวนานปวดขาเป็นอันมากแถมปวดตลอดเลย อาการปวดจะเหมือนกับตอนที่ต้องถ่างตาทำงานแล้วไม่ได้นอนอะค่ะ แต่ในกรณีนี้คงเป็นเพราะนั่งนานแล้วก็ความดันในเครื่องบินที่แตกต่างจากความ ดันปรกติบนพื้นดิน รวมถึงที่เครื่องบินมีการสั่นสะเทือนตลอดเวลาแต่เราเองอาจจะไม่รู้ตัว (รู้สึกจะมีคนอ๊วกในเครื่องด้วยอะแบบว่าได้กลิ่น ดีนะที่กลิ่นไม่ได้รุนแรงเหมือนคนที่อ๊วกในรถตู้ตอนไปปาย อันนั้นนี้สุดยอดดดด)
ปล. เสียค่ากระเป๋าน้ำหนักเกินไป $50 (ใบละ $25) ของ Economy class ให้ใบละ 23 กิโลกรัม คนละ 2 ใบ จริงๆ น้ำหนักรวมเราไม่เกิน 46 กิโลกรัมหรอกค่ะแต่ว่าเค้าคิดเป็นใบนี่สิ จะให้เอาของจากใบใหญ่ไปใส่ในใบเล็กก็ไม่ได้ ตอนเวลานั้นก็ไม่อยากทำแล้วด้วยเลยต้องยอมเสียไป (ไมเคิลยังยืนยันว่าในเว็บเขียนว่าให้ 32 kg แต่ให้เช็คกับสายการบินอีกทีแต่พอโทรไปก็ติดต่อไม่ได้ ผลก็เป็นเช่นดังนี้ หึหึ) แต่ก็ยังดีที่เค้าขนไม้กอล์ฟให้ฟรีไม่งั้นคงไม่ได้เอากลับมานี่แน่

ถึงอเมริกา
ครั้ง นี้เข้าประเทศที่ซีแอตเติลที่สนามบิน SeaTac ที่ตรวจคนเข้าเมืองก็เรียบร้อยดี แต่ก็ต้องรอนานอีกตามเคยกว่าเค้าจะจัดการเอกสารเสร็จ คือจริงๆแล้วเค้าจัดการวีซ่าท่องเที่ยวหรือวีซ่านักเรียนอะไรแบบนี้ก่อน แล้วหลังจากนั้นถึงจะเป็นวีซ่าพวกกึ่งๆ อพยพแบบเรา (ตอนสัมภาษณ์วีซ่าที่ไทยก็เป็นแบบเดียวกันเลยแต่นานกว่าเยอะ รอตั้งแต่คนเต็มห้องจนสุดท้ายเหลือแค่ห้าหกคน เรารอห้าชั่วโมงกว่าอะค่ะ แต่ถามตอบจริงๆแค่ห้านาที หึหึ) พอออกมาพ่อกับแม่ไมเคิลก็มารอรับอยู่แล้ว จากนั้นก็ขนกระเป๋าไปใส่รถ (ใส่พอด้วยอะ รถดูคันเล็กแต่เอนกประสงค์ชะมัด รถที่ว่านี่ก็คือ Volkswaken Golf ของไมเคิลนั้นเอง) และเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านไมเคิล ใช้เวลาประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมง) มาถึงก็ทานข้าวกับสตูเนื้อ ที่แม่ไมเคิลทำ อร่อยมาก จากนั้นก็อาบน้ำแล้วก็เข้านอน
ปล. ตอนเขียนใบ declare ระบุไปด้วยว่ามีชามาหนึ่งถุง แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่มี สรุปว่าตอนนี้คืนถิ่นกลับไปอยู่กระบี่เรียบร้อย เฮ้อเสียดาย ซื้อมาจากร้านนวดไทยที่กระบี่ ครั้งนี้อุตส่าห์มีของและซื้อมาได้แล้วเชียว รอมาสองปีกว่าสุดท้ายไม่ได้เอามาจนได้เศร้าจริงๆ (ใครอยากสมนาคุณซื้อผงชามะตูม ส่งมาให้เราที่นี่ก็ได้นะคะ จะปลาบปลื้มและรู้สึกขอบคุณอย่างม๊ากมากค่ะ อิอิ)

รายงานสภาพอากาศ
สาม วันแรกของการมาถึง อากาศดีสุดๆ ร้อนนนมาก นึกว่าอยู่ประเทศไทยตอนหน้าร้อน (เห็นเค้าเรียกกันว่า soft landing หมายถึงเราไม่ได้เจอสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากเดิมมากนักในที่ใหม่ แบบว่าลงจอดแบบนิ่มๆ) หลังจากนั้นสิ่งที่คนที่นี่คุ้นเคยก็กลับมาคือ ฝนตก ครึ้มและเย็น ตอนนี้เริ่มเข้าใจนิดหน่อยว่าทำไมคนที่นี่ถึงได้ดีใจนักเวลาแดดออก อิอิ

คิดถึงทุุกคนนะคะ :)

Posted in Souvenirs | Comments Off

รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป

ช่วงนี้เหงาก็เลยมีอารมณ์อยากจะเศร้า เอ๊ะยังไง? เลยไปหาเพลงเก่าๆมาฟัง ตอนนี้ใน playlist มีทั้งหมด 3 เพลง (เราชอบฟังเดิมๆเพลงซ้ำๆๆๆ จนเบื่อ ในกรณีถ้าเปิดเองอะนะ ก็แหงหละค่ะคงทำอย่างนี้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น ถ้าเป็นดีเจเปิด 3 เพลงทั้งวันคงโดนไล่ออก เหอๆ) มาถึงเพลงทั้งสามเพลงนั้นก็ประกอบด้วย
1. รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป – Groove Riders
2. จะเก็บเธออยู่ในใจเสมอ – บอย โกสิยพงษ์
3. เหมันต์ที่ผ่านพ้นไป (อันนี้เพลงเก่าแล้ว เพราะแบบเหงาขาดใจ ใครอยากเหงาเชิญหามาฟังได้เลย หน้าหนาวเพิ่งผ่านไปพอดี ตรงตามคอนเซ็ป อิอิ)

วันนี้มาแนะนำเพลงแรก คือ เพลงรักที่เพิ่งผ่านพ้นไป เราว่าผู้แต่งหยิบยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของคนปรกติโดยทั่วไปที่มีนัดกับคนรักในที่ที่หนึ่งเป็นประจำ แล้ววันนึงความรักนั้นก็หายไป ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ดนตรียังคงบรรเลง แต่สถานการณ์ของคนๆหนึ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว จากเคยมีเธอก็กลายเป็นอ้างว้างล่องลอย ว่าแล้วก็ขอจิบสักหน่อยแด่ความรักที่เพิ่งผ่านพ้นไป… ซะงั้น ^^’ อ๊ะอย่าเพิ่งโกรธที่ขัดจังหวะความเศร้า รับรองว่าถ้าได้ฟังเพลงแล้วจินตนาการตาม (อาจจะอ้างอิงจากประสบการณ์เดิมๆ หรือ ลองสร้างเหตุการณ์ขึ้นมาก็ได้สำหรับคนไม่เคยอกหักอะนะ) ยิ่งถ้าใครมีประสบการณ์นี้มาสดๆร้อนๆ คงรู้ดี นักร้องก็ร้องเสียงได้เศร้าเหงาดีมาก จับใจ… ลองฟังดูนะ

ผาหล่มสัก ภูกระดึง

ปิดท้ายด้วยรูปคนเหงา ณ ผาหล่มสัก ภูกระดึง (ซึ่งตอนนี้เดินแทบไม่ได้) ไปหน้าร้อนนี้ภูกระดึงเป็นของเราจริงๆ … คิดถึงจัง

Posted in Songs | 1 Comment

เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบ TOEFLiBT

หัวข้อนี้จะเป็นการแนะนำถึงสิ่งละอันพันละน้อยที่เราคิดว่ามีความสำคัญ หรืออย่างน้อยก็รู้ไว้ดีกว่าไม่รู้ ถือว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์นะคะ สำหรับเรื่องเตรียมสอบเรื่องการอ่านหนังสือให้ลองดูลิงก์้ด้านล่างนะคะ

1. สมัครสอบตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะจะได้เลือกวันและสถานที่สอบได้อย่างใจ ถ้าใครสมัครเรียนก็ให้เผื่อเวลาให้คะแนนไปถึงมหาวิทยาลัยก่อน deadline สักสองสามสัปดาห์ก็ดีค่ะ จะได้มั่นใจว่าถึงแน่ เพราะบางที ETS เขาก็มีเลทเหมือนกันนะคะ แบบว่าถ้ากะเวลาแบบพอดีกันเป๊ะๆ อาจจะไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่ แล้วก็ถ้าใครมีคณะและมหาวิทยาลัยที่กะว่าจะสมัครเข้าเรียนอยู่ในใจและทาง มหาวิทยาลัยต้องการคะแนน TOEFL ก็ให้ระบุรหัสของของคณะเหล่านั้นลงไปตั้งแต่ตอนสมัครสอบเลยเพื่อให้ทาง ETS ส่งคะแนนอย่างเป็นทางการไปให้ที่ที่เราสมัครโดยตรง และเราเองก็ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมด้วยซึ่งสามารถระบุได้ทั้งหมด 4 ที่ค่ะ (เราไม่แน่ใจว่าถ้าสมัครออนไลน์ทางระบบจะให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมที่ที่เรา ต้องการให้ส่งคะแนนไปก่อนวันสอบกี่วันหรือว่าให้ระบุได้แค่ตอนสมัคร) แต่หากต้องการขอเพิ่มภายหลังสอบเสร็จแล้วจะต้องจ่ายตังเพิ่มค่ะ

2. ฝึกพิมพ์ภาษาอังกฤษให้คล่องแคล่ว เนื่องจากในปัจจุบันนี้การสอบต่างๆ โดยเฉพาะการสอบที่เป็นมาตรฐานของต่างประเทศมักจะเป็นการสอบโดยใช้ คอมพิวเตอร์เกือบทั้งนั้น เราคาดว่าคนที่มาอ่านเจอเนื้อหาของ post นี้ก็คงใช้คอมพิวเตอร์เป็นกันทุกคน แต่สิ่งที่อยากจะเน้นย้ำก็คือ นอกเหนือจากการใช้ mouse ในการทำงานต่างๆ ได้แล้ว ควรจะมีความสามารถในการพิมพ์ภาษาอังกฤษแบบสัมผัสได้ด้วย (แต่ถ้าใครจิ้มได้เร็วมากก็ไม่ว่ากันค่ะ อิอิ) ทักษะนี้มีความจำเป็นอย่างมากเพราะในส่วนของ Writing ผู้สอบจะต้องแต่งเรียงความและใช้คีย์บอร์ดในการพิมพ์เรียงความเข้าไปใน คอมพิวเตอร์
เรียงความที่ต้องเขียนในการสอบ TOEFL ibt นั้นมีทั้งหมด 2 ข้อ ข้อแรกให้เวลา 20 นาที ข้อที่สองให้เวลา 30 นาที โดยในหน้าจอที่ให้พิมพ์นั้นจะมีตัวนับคำที่แสดงว่าในขณะนั้นเราเขียนเรียงความไปได้กี่คำแล้วโดยแต่ละข้อจะมีจำนวนคำอย่างน้อยที่สุดที่เราควรเขียนเรียงความในข้อนั้นๆ แนะนำไว้ ซึ่งเราก็ควรจะเขียนให้ได้ให้ได้ตามนั้นหรือมากกว่า อย่าลืมว่าแค่คิดเนื้อหาที่จะเขียนลงไปก็ลำบากและต้องใช้เวลาพอสมควรแล้ว หากต้องพิมพ์ดีดทีละตัวและต้องมองแป้นตลอด เห็นทีว่าคงลำบากที่จะทำทัน บางคนคิดเก่ง เนื้อหาดี ไวยกรณ์ถูกต้อง คำศัพท์สวยงาม แต่ต้องมาเสียคะแนนเพราะพิมพ์ไม่ทันนี่เสียดายแย่เลยนะคะ
จากความเห็น เราถ้าพิมพ์ไปโดยไม่ต้องมองแป้นบนคีย์บอร์ดแต่สามารถใช้ตาในการมองข้อความ ที่เรากำลังพิมพ์อยู่ได้นั้น จะให้ความต่อเนื่องในการคิดเรื่องราวที่เรากำลังเขียนได้ลื่นไหลมากกว่า ต้องมองสลับระหว่างจอและแป้นพิมพ์ตลอดเวลา รวมถึงการมองที่จอสามารถทำให้เราเห็นคำผิดและทำการแก้ไขได้ทันทีอีกด้วย จึงแนะนำอย่างมากที่ควรฝึกพิมพ์ภาษาอังกฤษให้ได้คล่องๆ ฝึกพิมพ์ภาษาอังกฤษง่ายกว่าฝึกพิมพ์ภาษาไทยมาก เพราะตัวอักษรภาษาอังกฤษน้อยกว่าตัวอักษรในภาษาไทยเยอะเลย สรุปก็คืออย่าให้คะแนนต้องลอยหายไปเพราะปัญหาด้านการพิมพ์ภาษาอังกฤษแล้ว กันนะคะ เราว่าน่าเสียดายยิ่งกว่าการคิดไม่ออกอีกนะ…

3. เตรียมอาหารไปทานระหว่างช่วงพัก การใช้สมองเป็นสิ่งที่ดูด พลังงานมากๆ จึงรู้สึกหิวเร็วกว่าปกติ ยิ่งตอนครั้งที่เราไปสอบนั้นเราได้รอบ 4 โมงเย็นซึ่งหมายความว่า หลังจากเข้าห้องสอบแล้วเราจะได้ออกจากห้องสอบประมาณสองทุ่มครึ่ง (แต่ความเป็นจริงเราได้ออกสามทุ่มแหน่ะ) ถ้าทานข้าวตั้งแต่ตอนเที่ยงกจะ็นับได้ 8 ชั่วโมงครึ่งเป็นอย่างน้อยที่จะไม่ได้ทานอะไรเลย เราจึงเตรียมนมกล่องกับน้ำเปล่าเพื่อเอาไปทานระหว่างช่วงพัก (reading, listening, พัก, speaking และ writing) โดยต้องออกมาทานหน้าห้องสอบ เมื่อไม่หิวจนเกินไปทำให้เรามีสมาธิในการทำข้อสอบในช่วงต่อไปได้มากขึ้น จึงอยากแนะนำให้เตรียมอะไรที่ทานได้ง่ายๆ ไปทานระหว่างช่วงพักด้วย (เวลาพัก = 10 นาที) จะได้ไม่หน้ามืดไปเสียก่อน

4. เตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วย เพื่อความอบอุ่น อิอิ

ตอนนี้ในห้องไกลบ้านที่เว็บพันทิป ก็มีกระทู้แนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวและประสบการณ์สอบ TOEFLiBT โดยคุณเมื่อลมแรง…ใบไม้ก็ร่วง อยู่ค่ะ มีประโยชน์ทีเดียว ใครวางแผนสอบอยู่หรือสอบเสร็จแล้วก็สามารถไปศึกษาและแชร์ประสบการณ์ได้ค่ะ

แถมรูปตัวเองก่อนวันรู้คะแนนหนึ่งวัน ทำใจดีสู้เสือสุดๆ (เกี่ยวอะไรกับหัวข้อนี้เนี๊ยะ….) อ้อ แล้วก็สุขสันต์วันคริสต์มาสนะคะทุกคน Ho ho ho ho….. oops! ได้ข่าวว่าถูกแบนนี่นา แต่ไม่เป็นไรเนอะก็อย่าไปคิดถึง slang สิคะ ไปแล้วค่า บายๆ

หน้่าตาก่อนรู้ผลสอบหนึ่งวัน หลั่นล้ากับครอบครัว

Posted in ประสบการณ์สอบ | 1 Comment

กลับมาพร้อมคะแนน TOEFL

กลับมาแล้วหลังจากหายไปนานสุดๆ จากการอัพเดท blog จริงๆ ก็ไม่ได้เดินทางไปไหนหรอกค่ะ แค่มีภารกิจที่ต้องจัดการเยอะกว่าปกติเท่านั้นเอง โดยเฉพาะช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ยังไม่เรียบร้อยยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกพอสมควร แต่ก็ยังดีที่มันลดลงไปส่วนหนึ่งแล้ว ก็ต้องสู้กันต่อไป เดือนที่แล้วไปสอบ TOEFL iBT มาและเพิ่งทราบคะแนนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมานี่เอง กลับมาถึงห้องปุ๊บก็เปิดคอมทันทีและจัดการ login เข้าไปเช็คคะแนนจากเว็บของ ets จำได้เลยว่าเสียวไส้วูบวาบไปหมด ตอนแรกนึกว่าพอ login เข้าไปแล้วกด view scores จะเห็นคะแนนทันที แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะว่าจะเห็นแค่ว่าคะแนน available แล้วและต้องกด see details อีกครั้งเพื่อเข้าไปดูคะแนน ใจตุ้มๆต่อมๆ มากๆ ก็กดปุ๊บกวาดตาดูตารางช่องสุดท้ายซึ่งเป็นคะแนนรวม ปรากฎว่าได้ 98/120 รู้ปุ๊บแหกปากเสียงดังตะโกนออกมาทันทีพร้อมยืนขึ้นและยกแขนสุดตัวว่า “ผ่านโว้ยย” (เหอๆ ออกแนวเถื่อนกันเลยทีเดียว) คือเราต้องการ 93 ขึ้นไปอะค่ะ ถึงจะได้ผ่านมากระจึ๋งนึงก็ยังดี พ่อได้ยินก็ดีใจด้วยเดินมาขอจับมือแล้วบอกว่า ยินดีด้วย จากนั้นก็ทำตัวเป็นผู้แทนอินเตอร์จับมือจับไม้กับน้องอีก แต่ไม่ได้จับกับแม่แห๊ะ แม่ทำอะไรอยู่นาตอนนั้น? สงสัยกำลังปอกสละให้ลูกๆ ผู้หิวโหยอยู่แน่เลย คะแนนที่ได้แต่ละ part เป็นดังนี้ค่ะ (คะแนนเต็มแต่ละpart = 30 คะแนน)

Reading = 26
Listening = 27
Speaking = 18 (กร๊ากกกก เกือบตกแหน่ะ)
Writing = 27

Total = 98

โล่งงงง เหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะการสอบมันทรมานมากเลย จำได้ว่าวันนั้นกลับมาถึงห้องเกือบเที่ยงคืนเหนื่อยสุดๆ (เริ่มสอบสี่โมงเย็น เสร็จตอนสามทุ่ม) จริงๆที่ถึงห้องช้า เพราะขึ้นรถสายผิดไปวนอ้อมอยู่ครึ่งกรุงเทพ เซ็งจิต… แต่ก็นึกเสียว่าเป็นการทัศนาจรกรุงเทพในยามค่ำคืน ด้วยบริการของรถร่วมบริการสาย 35 คิดดูดินั่งๆ ไปแทนที่จะผ่านทางกลับบ้าน ดันไปผ่านแถวที่ทำงานเฉยเลย (แอบคิดอยู่ว่าไปนอนที่ที่ทำงานเลยดีป่าว ตอนเช้าจะได้ไม่ต้องเปลืองค่ารถแท๊กซี่อีก งก..) อีกอย่างวันนั้นปวดหลังมาก ทรมานจริง นั่งในรถก็เหมือนจะเลื้อยอยู่แล้วกว่าจะถึงดาวคะนองรู้สึกว่านานมาก แถมจากนั้นต้องต่อรถอีกสองต่อหละ แต่ไม่เป็นไรสอบเสร็จแล้วต้องอดทน ขาไปเสียค่าแท๊กชี่+ค่าทางด่วน ไปเกือบสองร้อยห้าสิบบาท ขากลับเลยต้องงกกันหน่อย (อยู่พุทธบูชา แต่ไปสอบแถวรัชดาโน่นค่ะที่ Kinetics Education & Training Center อยู่ในซอยตรงข้ามกับศาลอาญา) ไว้จะมาเขียนต่อไปว่าจากประสบการณ์ในการสอบนั้นเราคิดว่าควรเตรียมพร้อม อะไรบ้าง ถึงแ้ม้คะแนนของเราจะแค่พอถูไถไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็คิดว่าพอโอเึคในระยะเวลาการเตรียมตัว 1 สัปดาห์โดยใช้เวลาหลังเลิกงานกับได้อ่านเต็มๆ ในวันเสาร์อีกหนึ่งวัน สำหรับวันนี้ก็แค่อยากบอกกล่าวว่าดีใจอย่างมากที่ไม่ต้องสอบใหม่เพราะมัน ทั้งแพงทั้งทรมาน แบบว่าปวดตับไปหมดเลย (ตับเป็นคำตายเสียงสั้น สำหรับให้ความรู้สึกถึงอารมณ์มากกว่าคำว่า ปวดใจ แล้วตอนเราตื่นเต้นมันก็เสียวแถวๆท้องและหน้าอกจริงๆ นะ เลยคิดว่าเป็นอาการปวดตับ ฮ่าๆๆ) วันนี้ขออัพเดทแค่นี้ก่อนนะคะ บาย บาย

Posted in ประสบการณ์สอบ | 5 Comments